** หน่วยแปลงค่า ก๊าซแอลพีจี 1ลิตร/0.54 กก. ดังนั้น ก๊าซแอลพีจี 1 กก. จะเท่ากับ 1.852 ลิตร** นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ไม่สนบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ขาดทุน 20,000 ล้านบาทต่อปี จะไม่ขึ้นราคาเอ็นจีวีจนกว่าจะขยายสถานีบริการให้เพียงพอ ส่วนแอลพีจีครัวเรือนย้ำปีหน้าทยอยปรับรวม 6 บาทต่อกิโลกรัม
นายพงษ์ศักดิ์ แถลงภายหลังประชุมผู้บริหารกระทรวงพลังงาน เรื่อง “การปรับโครงสร้างราคาพลังงาน” โดยในส่วนราคาเอ็นจีวี จะยังไม่มีการปรับขึ้นแต่อย่างใด จากราคาปัจจุบัน 10.50 บาทต่อกิโลกรัม จนกว่า บมจ.ปตท. จะทำแผนรายละเอียดเรื่องการก่อสร้างสถานีใหม่ให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ เพราะจากการหารือกับผู้ประกอบการขนส่งพบว่าต้องการให้มีสถานีเอ็นจีวีทั่วประเทศ โดยรูปแบบการลงทุนจะเป็น ปตท. หรือเอกชนก็ได้ ซึ่งหาก ปตท. ยังไม่มีแผนปรับปรุง ปตท.จะต้องรับภาระขาดทุนต่อไป โดยเท่าที่รับรายงาน ปตท. รับภาระขาดทุนปีละ 20,000 ล้านบาท หากต้องลงทุนเพิ่มจะต้องลงทุนสร้างสถานีเอ็นจีวี 5,000-7,000 ล้านบาท ซึ่งหากลงทุนได้เร็วการพิจารณาปรับขึ้นราคาก็จะเกิดขึ้น และ ปตท.จะสามารถลดการขาดทุนได้เร็วเช่นกัน
ส่วนการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม หรือ แอลพีจี ภาคครัวเรือน จากปัจจุบันราคาอยู่ที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม (333 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน) จะปรับขึ้นเป็น 24.82 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นราคาอ้างอิงราคาก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย โดยจะทยอยปรับขึ้นเดือนละ 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม เป็นเวลา 1 ปี หรือรวม 6 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจะปรับขึ้นเมื่อใดนั้น ขึ้นอยู่กับแผนงานของคณะทำงานที่จะทำรายละเอียดเรื่องการช่วยเหลือกลุ่ม ผู้มีรายได้น้อยและหาบเร่แผงลอย โดยมีเป้าหมายว่าข้อมูลทั้งหมดควรเสร็จสิ้นในเดือนมกราคม 2556 หากเร็วสุดก็จะปรับราคาในเดือนกุมภาพันธ์ 2556
ส่วนราคาแอลพีจีภาคขนส่ง ปัจจุบันอยู่ที่ 21.38 บาทต่อกิโลกรัม ในปีหน้าจะทยอยปรับขึ้นจนราคาสุดท้ายเป็นราคาเดียวกับภาคครัวเรือนที่ 24.82 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อป้องกันการถ่ายเทก๊าซระหว่างกัน เพราะราคาที่แตกต่างกันในปัจจุบัน ทำให้มีการลักลอบถ่ายเทจำนวนมาก เบื้องต้นคาดว่าจะมีการนำแอลพีจีภาคครัวเรือนไปใช้ในภาคขนส่งไม่ต่ำกว่า 32,000 ตันต่อเดือน เพราะจากสถิติ พบว่ามีการจำหน่ายก๊าซขนส่งตามสถานีแอลพีจีเพียง 88,000 ตันต่อเดือนเท่านั้น แต่หากพิจารณาจำนวนรถยนต์ พบมีรถแท็กซี่ ประมาณ 30,000 คัน รถยนต์ส่วนบุคคลประมาณ 915,000 คัน รวมการใช้ก๊าซจริงอยู่ที่ 120,000 ตัน ขณะที่คาดว่ามีการนำแอลพีจีจากครัวเรือนไปใช้ในภาคอุตสาหกรรมและเกษตรอีก 27,000 ตันต่อเดือน รวมทั้งลักลอบส่งออกอีกกว่า 6,000 ตัน
สำหรับแนวทางการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ซึ่งได้รับผลกระทบจากการปรับราคาแอลพีจี ทางกระทรวงพลังงานจะไม่ขึ้นราคาแอลพีจีกับคนกลุ่มนี้ โดยรูปแบบการช่วยเหลือจะใช้คูปอง หรือรูปแบบใด จะมอบหมายคณะทำงานของกระทรวงเร่งพิจารณา โดยกำหนดแนวทางช่วยเหลือ 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 50 หน่วยต่อเดือน รวมประมาณ 3.8 ล้านครัวเรือนจะอุดหนุน 6 กิโลกรัมต่อเดือน ส่วนกลุ่มหาบเร่ แผงลอย ใช้ตัวเลขอ้างอิงจากโครงการอาหารสะอาดจากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีตัวเลขประมาณ 285,000 ราย และคาดว่ามีกลุ่มที่ตกสำรวจอีกประมาณ 100,000 ราย กลุ่มนี้จะได้รับการอุดหนุน 150 กิโลกรัมต่อเดือน ซึ่งคาดว่าน่าจะเพียงพอและไม่กระทบต่อการปรับขึ้นราคาสินค้า เนื่องจากตัวเลขเบื้องต้นพบว่าคนกลุ่มนี้จะมีการใช้แอลพีจีเพียง 120 กิโลกรัมต่อเดือนเท่านั้น
ทั้งนี้ ตามข้อมูลการศึกษาของกระทรวงพลังงานการปรับราคาแอลพีจีในปี 2556 จะปรับขึ้น 6 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 24.82 บาทต่อกิโลกรัม และหลังจากนั้นในปี 2557 จะทยอยปรับขึ้นอีกเป็นราคาตลาดโลก ซึ่งหากคำนวณราคาที่ 900 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ราคาในปี 2557 ราคาจะอยู่ที่ 36.35 บาทต่อกิโลกรัม หรือปรับอีก 11.53 บาทต่อกิโลกรัม โดยภาระการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในปี 2556 จะอยู่ที่ 2,700 ล้านบาทต่อปี และในปี 2557 จะอยู่ที่ 7,200 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจะทำให้ภาระการช่วยอุดหนุนแอลพีจีที่ปัจจุบันมีภาระนำเข้าประมาณ 36,000 ล้านบาทต่อปี
สำนักข่าวไทย :
www.mcot.net/site/content?id=50c1a2f8150ba0af190000fc#.UMG1SGe_Vdg