อ่านข่าวนี้ จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ 19-21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 ท่านคงมองภาพออกถึงศักยภาพ จริงๆ แล้วเพิ่มการผลิตได้ เพื่อลดการนำเข้า แต่หากราคาหน้าโรงกลั่นเป็นเช่นนี้ เพิ่มไป เพื่อ อิหยั่ง ลองอ่านดูครับ
จี้ลอยตัวLPGราคาหน้าโรงกลั่น กลุ่มโรงกลั่นจี้กระทรวงพลังงาน ปรับโครงสร้างราคาแอลพีจีทั้งระบบ โดยดันราคาหน้าโรงกลั่นให้เท่าตลาดโลก เพื่อจูงใจให้หันมาผลิตเพิ่ม ช่วยลดการนำเข้า และลดการอุดหนุนของกองทุนน้ำมันฯ ยันจะไม่กระทบต่อผู้มีรายได้น้อย เพราะรัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลืออยู่แล้ว
นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า จากที่นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานมีนโยบายที่จะลอยตัวราคาก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจีในส่วนของภาคครัวเรือนในช่วงเดือนสิงหาคม2555 นี้ เพื่อสะท้อนราคาที่เป็นจริง จากเดิมที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) เคยมีมติให้ตรึงราคาที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัมไปจนถึงสิ้นปี 2555 นั้น ซึ่งหากรัฐบาลมีนโยบายดังกล่าวจริง ก็ควรจะมีการทบทวนราคาแอลพีจีหน้าโรงกลั่นใหม่ เพื่อจูงใจให้โรงกลั่นน้ำมันหันมาผลิตแอลพีจีเพิ่มขึ้น และจะช่วยลดปริมาณการนำเข้าแอลพีจีจากต่างประเทศส่วนหนึ่ง จากปัจจุบันมีการนำเข้าประมาณ 110,000 ตันต่อเดือน และต้องใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอุดหนุนส่วนต่างราคานำเข้าในเดือนกรกฎาคมนี้อยู่ที่ประมาณ 1,130 ล้านบาทต่อเดือน
ทั้งนี้ เนื่องจากปัจจุบันราคาแอลพีจีหน้าโรงกลั่นน้ำมัน ยังไม่สะท้อนต้นทุนตามราคาตลาดโลก (ซีพี)เพราะมีการใช้อ้างอิงเพียง 76 % ของราคาซีพี โดยในเดือนกรกฎาคมราคาแอลพีจีอยู่ที่ 530 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ในขณะที่ราคาตลาดโลกอยู่ที่ 593 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน จึงยังไม่จูงใจให้โรงกลั่นน้ำมันหันมาผลิตแอลพีจีเพิ่มขึ้นได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้โรงกลั่นบางจากยังไม่มีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตแอลพีจีจากปัจจุบันผลิตอยู่ที่ 4,000 ตันต่อเดือน แม้ว่าทางรัฐบาลจะปล่อยลอยตัวแอลพีจีในภาคการใช้ต่างๆก็ตาม
โดยจะยังเน้นการเลือกน้ำมันดิบ ที่นำมากลั่นให้ได้น้ำมันดีเซลและน้ำมันเครื่องบินเป็นหลัก แต่หากภาครัฐมีการพิจารณาลอยตัวราคาหน้าโรงกลั่น 100% ก็อาจสร้างแรงจูงใจให้โรงกลั่นบางแห่งเพิ่มปริมาณการผลิตแอลพีจีได้
อย่างไรก็ตาม การปรับราคาแอลพีจีภาคอุตสาหกรรม ขนส่ง และภาครัวเรือน ตามราคาหน้าโรงกลั่น จะช่วยลดภาระการอุดหนุนของกองทุนน้ำมันฯได้ส่วนหนึ่งก็ตาม แต่ไม่ได้ช่วยลดการนำเข้าแอลพีจี ซึ่งหากปรับราคาแอลพีจีหน้าโรงกลั่นตามราคาตลาดโลกขึ้นไปได้ จะช่วยให้ประเทศลดการนำเข้า และลดการสูญเสียเงินตราต่างประเทศในการต้องซื้อแอลพีจีลงได้ อีกทั้ง การปรับราคาหน้าโรงกลั่นขึ้นไป จะไม่มีผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อย เพราะภาครัฐต้องมีมาตรการช่วยเหลืออยู่แล้ว
แหล่งข่าวจากบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)(บมจ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันโรงกลั่นไทยออยล์มีกำลังการผลิตแอลพีจีอยู่ที่ 30,000 ตันต่อเดือน ซึ่งอาจจะเพิ่มกำลังการผลิตจากนี้ได้ไม่มากนัก เนื่องจากโรงกลั่นไทยออยล์ออกแบบเพื่อผลิตน้ำมันดีเซลเป็นหลัก แต่
หากมีการปรับราคาหน้าโรงกลั่นอิงราคาตลาดโลก 100% ก็จะจูงใจให้โรงกลั่นสามารถเพิ่มกำลังการผลิตแอลพีจีป้อนตลาดในประเทศได้ ซึ่งจะช่วยลดการนำเข้า และลดการอุดหนุนของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ เพราะปัจจุบันราคาแอลพีจีหน้าโรงกลั่นยังถูกกว่าราคาตลาดโลกถึง 24% ส่งผลให้โรงกลั่นยังต้องแบกรับภาระส่วนหนึ่งด้วย "ในส่วนของโรงกลั่นไทยออยล์ยังต้องพิจารณาก่อนว่าจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้หรือไม่ เพราะขณะนี้ก็ผลิตเต็มที่แล้ว อย่างไรก็ตามมองว่าการปรับราคาแอลพีจีของทุกภาคส่วนเป็นสิ่งที่ดี แต่จะให้ดีที่สุดต้องปรับให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงทั้งระบบ ซึ่งจะช่วยลดภาระการอุดหนุนของภาครัฐในการนำเข้าแอลพีจีได้ ซึ่งในระยะสั้นรัฐบาลต้องมีมาตรการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน แต่ในระยะยาวก็ควรจะอิงตลาดโลก เพราะตอนนี้ไทยนำเข้าแอลพีจีจำนวนมาก"
ทั้งนี้ มาตรการปรับขึ้นราคาแอลพีจีทุกภาคส่วนของกระทรวงพลังงาน เป็นเรื่องที่ดี เพราะจะช่วยลดภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง นอกจากนี้ยังช่วยให้ประชาชนปรับตัวเรื่องการใช้พลังงานในระยะยาวด้วย ทั้งนี้เชื่อว่าการปรับขึ้นราคาแอลพีจีไม่น่าจะกระทบกับผู้มีรายได้น้อย เพราะจะเป็นการทยอยปรับเพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง รวมทั้งเชื่อว่ารัฐบาลจะมีมาตรการช่วยเหลืออย่างแน่นอน
ปัจจุบันมีการผลิตแอลพีจีจากโรงกลั่นน้ำมันประมาณ 146,000 ตันต่อเดือน จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ 309,000 ตันต่อเดือน ซึ่งยังไม่เพียงพอต้องนำเข้าอีกประมาณเดือนละ 110,000 ตันต่อเดือน
ข่าวจาก :
www.thanonline.com