จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2398 05 ก.พ. - 07 ก.พ. 2552 ราคาพลังงาน กับการกระตุ้นเศรษฐกิจ การที่รัฐบาลตัดสินใจไม่ปรับราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) กับก๊าซธรรมชาติที่ใช้กับรถยนต์ (NGV) โดยให้เหตุผลว่าไม่ต้องการซ้ำเติมประชาชนในช่วงภาวะเศรษฐกิจที่กำลังมีปัญหา และเป็นการสวนทางนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล แต่ปรากฏว่าหลังจากนั้นไม่กี่วัน รัฐบาลก็ประกาศขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมัน (ส่วนหนึ่งปรับขึ้นหลังจาก 6 มาตรการ 6 เดือน หมดอายุในวันที่ 31 ม.ค. แล้วยังมีการปรับภาษีสรรพสามิตเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก) ทำให้ราคาน้ำมันทุกชนิดต้องปรับเพิ่มขึ้นลิตรละ 1.55 บาท ในวันที่ 1 ก.พ. ที่ผ่านมา จึงสร้างความสับสนให้กับประชาชนพอสมควรว่า การไม่ขึ้นราคา LPG และ NGV แต่กลับมาขึ้นภาษีสรรสามิตน้ำมันทุกประเภท รัฐบาลไม่ห่วงว่าจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับประชาชน หรือเป็นการสวนทางบรรยากาศในการที่รัฐบาลกำลังออกมาตรการเพื่อกระตุ้น เศรษฐกิจหรืออย่างไร
จริงๆ แล้วต้องยอมรับว่านโยบายทางด้านพลังงานของไทยนั้นค่อนข้างลักลั่นและไม่สอด คล้องกับความเป็นจริงมานานแล้ว ก่อนหน้ารัฐบาลชุดนี้จะเข้ามารับหน้าที่ โดยนโยบายด้านพลังงานนั้นไม่สามารถดำเนินไปตามแผนแม่บทเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ ด้านพลังงานในระยะยาวได้ ทั้งนี้เพราะถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองเป็นระยะๆ โดยเฉพาะเรื่องโครงสร้างราคาพลังงานและการปรับราคาพลังงานให้สอดคล้องกับต้น ทุนที่แท้จริงในตลาดโลก
คำถามก็คือถ้าเราต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ราคาพลังงานจำเป็นต้องอยู่ในระดับต่ำเสมอไปหรือไม่ คำตอบที่ถูกต้องก็คือ ราคาพลังงานที่ต่ำมีส่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจก็จริงแต่ก็ควรสะท้อนต้นทุนที่ แท้จริงตามราคาในตลาดโลกด้วย เพราะเราเป็นประเทศผู้นำเข้าพลังงานสุทธิ (Net Importer)
การกดราคาพลังงานให้ต่ำกว่าความเป็นจริงอาจมีส่วนช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจได้บ้าง แต่ในระยะยาวจะทำให้เกิดการใช้พลังงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ และกระตุ้นให้เกิดการใช้พลังงานอย่างฟุ่มเฟือย ไม่ประหยัด และไม่ส่งเสริมการพัฒนาและการใช้พลังงานทดแทนอีกด้วย
การที่เราเป็นประเทศผู้นำเข้าพลังงานสุทธิ ทำให้เราต้องสนใจกับโครงสร้างราคาพลังงานทุกชนิดให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพราะพลังงานล้วนแต่ใช้ทดแทนกันได้ ถ้าเรายอมให้น้ำมันราคาแพงเป็นไปตามกลไกราคาตลาดโลก แต่ไปกดราคาก๊าซทั้ง LPG และ NGV เอาไว้ให้อยู่ในระดับต่ำ ก็เท่ากับเรากำลังส่งเสริมให้ผู้บริโภคหันมาใช้ก๊าซมากขึ้นนั่นเอง และในระยะยาวจะทำให้เราต้องนำเข้าพลังงานประเภทก๊าซไม่ว่าจะเป็น LPG หรือ LNG เพิ่มมากขึ้น
มีข้อโต้แย้งว่าก๊าซธรรมชาติ (NG) เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในอ่าวไทย ไม่ควรไปอิงราคาในตลาดโลก ผมมีความเห็นว่าทรัพยากรธรรมชาติทั้งหลายที่เรามีอยู่ ผลการสำรวจระบุชัดว่ามีอยู่อย่างจำกัด (ใช้ได้ประมาณอีก 15 ปี ถ้าไม่สามารถสำรวจพบเพิ่มขึ้นอีก) และในปัจจุบันเราก็ต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติมาจากประเทศพม่าถึง 25% ของความต้องการทั้งหมดในประเทศ ในระยะยาวเราต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากประเทศออสเตรเลียหรือตะวันออกกลางเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น ตามการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ถึงแม้ว่าขณะนี้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยจะเริ่มติดลบก็ตามแต่ก็จะ ต้องขยายตัวเพิ่มขึ้นในปีต่อๆ ไป
นอกจากนั้นทรัพยากรธรรมชาติทุกชนิด (ป่าไม้ สินแร่ต่างๆ ตลอดจนน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ) ล้วนแต่มีมูลค่าในตัวของมันเอง โดยเทียบเคียงได้กับราคาในตลาดโลก และราคาก็มีการปรับขึ้นลงตามความต้องการในตลาดโลก
ดังนั้นเรามีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเร่งการนำทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้มา ใช้ให้หมดไปโดยเร็ว โดยการตั้งราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริง (บางครั้งตั้งราคาผลิตภัณฑ์บางชนิดต่ำกว่าต้นทุนที่แท้จริงด้วย เช่น NGV เป็นต้น)
นอกจากนั้นถ้าเราตั้งราคาพลังงานที่มาจากทรัพยากรธรรมชาติในประเทศให้ต่ำๆ เพื่อนำไปใช้ในการผลิตสินค้าหรือพัฒนาประเทศ ก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ทำให้มีมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจก็ยังพอทำเนา แต่ถ้าตั้งราคาทรัพยากรเหล่านี้ให้ต่ำๆ โดยก่อให้เกิดการบริโภคพลังงานที่ไม่มีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ แต่เอามาใช้เผาเล่นไปกับรถยนต์ส่วนตัวอย่างในปัจจุบันก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ น่าเสียดายมากขึ้น
เจตนาของผมไม่ได้ต้องการให้ผู้บริโภคต้องบริโภคพลังงานในราคาแพง เพียงแต่เห็นว่าพลังงานเป็นสิ่งที่ต้องใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นราคาพลังงานทุกชนิดจะต้องตอบสนองต่อราคาที่แท้จริงในตลาดโลก เพราะเราเป็นประเทศผู้นำเข้าพลังงาน ไม่ใช่เป็นประเทศผู้ส่งออกพลังงานเหมือนประเทศในกลุ่ม OPEC หรือประเทศมาเลเซียเพื่อนบ้านเราซึ่งสามารถตั้งราคาพลังงานต่ำๆ ได้ โดยเอาเงินค่าพรีเมียมที่ส่งออกพลังงานมาอุดหนุน แต่ก็อุดหนุนไม่ไหวเพราะใช้เงินมากมายมหาศาล และทำให้ประชาชนไม่ประหยัดพลังงาน
ดังนั้นการปรับโครงสร้างพลังงานแต่ละชนิดของไทยให้สอดคล้องกัน ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมัน ก๊าซหุงต้ม (LPG) หรือก๊าซรถยนต์ (NGV) จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลสมควรจะรีบทำครับ และต้องรีบทำโดยด่วนด้วย เพราะขณะนี้เป็นช่วงจังหวะที่เหมาะสมมากที่สุด เนื่องจากราคาพลังงานโลกอยู่ในระดับต่ำ ถ้าไม่ทำตอนนี้รัฐบาลก็จะเสียโอกาสทองในการปรับโครงสร้างราคาพลังงานที่ลัก ลั่นและมีปัญหามาโดยตลอด
อย่าทำให้น้ำมันและพลังงานกลายเป็นสินค้าทางการเมืองอีกต่อไปเลยครับ!!!
ที่มา :
http://www.thannews.th.com/detialNews.php?id=T0723981&issue=2398