ปตท.ซุ่มวิจัยเอทานอลจากสาหร่าย
โดย : ลมลเพ็ชร อภิสิทธิ์นิรันดร์ ![](http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2009/01/29/images/news_img_11767_1.jpg)
แม้ราคาน้ำมันจะปรับตัวลดลง แต่ความสำคัญของพลังงานทดแทน ก็ยังไม่คงไม่แปรเปลี่ยน นั่นเป็นเพราะซัพพลายน้ำมันโลกที่เหลือน้อยเต็มที กลายแรงผลักดันให้ภาคเอกชนหลายราย ซุ่มวิจัยพลังงานทดแทน โดยเฉพาะพี่เบิ้มอย่างปตท. ที่ทุ่มเงินไม่น้อยกว่าปีละ1,000 ล้านบาท
ความสนใจของ ปตท.พุ่งเป้าไปที่การวิจัยพืชที่ไม่ได้ใช้เป็น "อาหารคน" นั่นเพราะไม่ต้องการสร้างปัญหาการแย่งชิงทรัพยากร ซึ่งจะเกิดปัญหาต่างๆตามมามากมาย โดยเฉพาะจะทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนพืช ส่งผลให้ราคาผันผวนหนัก
ดร.ส่งเกียรติ ทานสัมฤทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สถาบันวิจัยและเทคโนโลยี บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เล่าให้ฟังว่า ปตท.ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาพลังงานทดแทนมานานแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบริษัทชั้นนำด้านพลังงานทั่วโลกต่างมุ่งไปในด้านนี้ ยิ่งในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่น้ำมันแพงทั่วโลก ปตท.ได้เพิ่มเม็ดเงินด้านการวิจัยและพัฒนามากถึงปีละกว่า 1,000 ล้านบาท
โดยโครงการที่ ปตท.อยู่ระหว่างลงแรงผลักดัน ได้แก่ การพัฒนาและวิจัยสาหร่ายน้ำเค็มเพื่อนำมาสกัดเป็นเอทานอล โดยร่วมกับสถาบันการศึกษา เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น การวิจัยโดยนำเอาผักตบชวามาเปลี่ยนเป็นเอทานอล โดยการใช้เอนไซม์ช่วยย่อยสลาย และโครงการเซลูโลสิก เอทานอล (Cellulosic Ethanol) ซึ่งเป็นการผลิตเอทานอลจากกากเส้นใยพืช
ทว่าโครงการเหล่านี้ต้องใช้เวลานานในการทดลอง กว่าจะนำมาใช้ได้จริงในเชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ยังต้องพัฒนาและปรับปรุงเทคโนโลยีให้มีตนทุนที่ถูกลง ไม่เช่นนั้นต้นทุนการผลิตที่ค่อนข้างสูง จะกลายเป็นปัญหาต่อการพัฒนาโครงการไปสู่การผลิตในเชิงพาณิชย์
ดร.ส่งเกียรติ ยังอธิบายถึง การพัฒนาและวิจัยสาหร่ายน้ำเค็มฯ ว่า น้ำมันที่ได้จากสาหร่ายนั้น จะเป็นน้ำมันเบา และให้ยีลด์มากกว่าปาล์มถึง 30 เท่า แต่ต้นทุนสูงมากเฉลี่ยอยู่ที่ 200-300 ดอลลาร์สหรัฐต่อแกลลอน ซึ่งถือเป็นราคาที่สูงมาก แต่สาเหตุที่ ปตท.ให้ความสนใจเพราะยีลด์ที่ได้สูงมาก โดยปัจจุบันผลการทดลองในห้องทดลองอยู่ในขั้นที่สามารถสกัดน้ำมันออกมาได้ แล้ว
"ขณะนี้ทั่วโลกเป็นห่วงว่าการนำพืชมาเป็นพลังงานจะส่งผลกระทบต่อพืชอาหาร แต่งานวิจัยด้านพลังงานทดแทนได้ก้าวไปสู่เจเนอเรชั่นที่สองคือ การวิจัย "เซลลูโลส" และการริเริ่มนำสาหร่ายมาผลิตเป็นเชื้อเพลิง
สาหร่ายจึงกลายเป็นความหวังของคนทั่วโลก เพราะสามารถใช้ประโยชน์หลายด้าน และยังไม่ส่งผลกระทบกับอาหารของคนหรือสัตว์ ขณะเดียวกันสาหร่ายที่ผ่านกระบวนการผลิตเป็นน้ำมันแล้ว กากยังมีโปรตีน สามารถนำไปเป็นอาหารสัตว์ได้อีกด้วย"
ดร.ส่งเกียรติ ยังเล่าถึง การวิจัยโดยนำเอาผักตบชวามาเปลี่ยนเป็นเอทานอล ด้วยการใช้เอนไซม์ช่วยย่อยสลายว่า ได้แนวคิดมาจาก "ปลวก" ที่กินไม้เนื้อแข็ง โดยสามารถเปลี่ยนจากไม้เนื้อแข็งมาเป็นน้ำตาล นั่นก็เพราะปลวกมีเอนไซม์ช่วยย่อยสลายและเปลี่ยนพลังงานเป็นน้ำตาล ขณะที่ปัจจุบันก็สามารถนำน้ำตาลมาทำเอทานอลได้อยู่แล้ว
“เราล้อวิธีการของปลวก ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นไปได้ ถ้าเราทดลองตรงนี้สำเร็จจะสามารถนำพืชอื่นๆ มาทำได้อีกมาก ไม่จำเป็นต้องไปแย่งอาหารคนหรือสัตว์ แต่ปัจจุบันเอนไซม์มีราคาแพงมาก และมีจำหน่ายเพียง 2 บริษัทในโลกเท่านั้น ตรงนี้ก็กำลังศึกษาว่าจะสามารถสกัดเอนไซม์ใช้เองได้หรือไม่” ดร.ส่งเกียรติ ระบุ
นอกจากโครงการเหล่านี้แล้ว ปตท.ยังมีอีกหลายโครงการที่พัฒนาร่วมกับค่ายรถยนต์ เช่น การพัฒนาร่วมกับ"โตโยต้า" เกี่ยวกับการพัฒนาน้ำมัน Bio Hydrogenated Diesel หรือ BHD ซึ่งเป็นน้ำมันดีเซลคุณภาพสูง มีปริมาณซัลเฟอร์น้อยมาก เหมาะสำหรับใช้ในรถปิกอัพ ปัจจุบันยังคงอยู่ในขั้นของการศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปลายปี 2552
“สาเหตุที่ ปตท.สนใจศึกษานี้ เพราะต้องการพัฒนาการผลิตไบโอดีเซลจากสบู่ดำ เพราะปัจจุบันต้องพึ่งการผลิตจากน้ำมันปาล์มดิบ ซึ่งอิงราคาขายกับภาคการบริโภคส่งผลให้ราคาผันผวน แต่หากสามารถผลิตไบโอดีเซลจากสบู่ดำได้ จะทำให้ราคาจะค่อนข้างคงที่และอิงต้นทุนการผลิตที่แท้จริง แม้ว่าปริมาณไบโอดีเซลที่ได้จะน้อยกว่าปาล์มค่อนข้างมาก โดยจะสามารถสกัดไบโอเซลจากการปลูกสบู่ดำ 200 กิโลกรัมต่อไร่ แต่หากปลูกปาล์มจะสามารถสกัดน้ำมันไบโอดีเซลได้ถึง 400 กิโลกรัมต่อไร่
ปตท.มีแผนพัฒนาพันธุ์สบู่ดำเพื่อให้ได้ปริมาณเทียบเท่ากับปาล์ม โดยจะตั้งศูนย์วิจัยนำร่องการศึกษาเพื่อผลิต BHD หรือกระบวนการสกัดน้ำมันด้วยการแยกโมเลกุล ที่บริเวณศูนย์วิจัยของปตท.ที่อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยคาดว่าศูนย์นี้จะเปิดตัวได้ภายในปีนี้
"ปตท.กำลังศึกษารายละเอียดการลงทุนเพื่อสร้างหน่วยการกลั่น BHD ว่าจะต้องใช้เม็ดเงินลงทุนเท่าใด เพราะหากคุ้มค่ากับการลงทุนจะทำให้หน่วยการกลั่นนี้สามารถแครก กิ้งไขมันสัตว์หรือพืช รวมทั้งน้ำมันที่ใช้แล้วให้เป็นไบโอดีเซลได้"
ดร.ส่งเกียรติ ยังระบุว่า ปตท.คาดว่าภายในปี 2553 จะสามารถทดลองตั้งหัวจ่ายน้ำมัน BHD เพื่อเป็นสถานีบริการนำร่องและมีแผนขยายต่อเนื่อง ส่วนการจะพัฒนาในเชิงพาณิชย์และนำออกมาจำหน่ายได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ราคาน้ำมันในขณะนั้น เพราะต้นทุนการผลิตน้ำมันดังกล่าวค่อนข้างสูง ปตท.คำนวณต้นทุนการผลิตอยู่บนพื้นฐานราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 70-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่หากนำมาจำหน่ายตอนที่ราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 38-40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จะไม่มีใครซื้อเพราะไม่รู้จะจ่ายแพงกว่าไปทำไม
ขณะเดียวกันค่ายรถยนต์ต่างๆก็เตรียมพร้อมรับทิศทางการใช้น้ำมันที่มุ่งไปยัง น้ำมันที่ผลิตจากพืชมากขึ้น ดังนั้นปตท.จึงต้องเร่งพัฒนาน้ำมันประเภทนี้เพื่อจำหน่ายในประเทศให้ทันกับ การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น และหากราคาน้ำมันกลับมาแพงอีกครั้งจะได้มีแผนรองรับได้ทัน
"ประเทศไทยมีจุดแข็งด้านวัตถุดิบชีวมวล ซึ่งมีหลากหลายประเภท ปตท.เองก็ให้ความสนใจและให้การสนับสนุนในการวิจัยและพัฒนางานด้านนี้ต่อ เนื่อง เหตุผลหนึ่งก็เพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงาน ลดการพึ่งพาน้ำมันจากต่างประเทศ ขณะที่ความสามารถทางด้านการแข่งขันก็เป็นสิ่งที่ผลักดันให้ ปตท.ต้องพัฒนาและวิจัยอย่างต่อเนื่อง บนสนามธุรกิจพลังงาน"
ที่มา :
http://www.bangkokbiznews.com/home/news/business/bizweek/2009/02/02/news_11767.php