จากปัญหาคุณภาพเนื้อก๊าซเอ็นจีวีที่มี 2 มาตรฐาน ระหว่างก๊าซฝั่งตะวันตกที่มาจากพม่ากับก๊าซอ่าวไทยที่ผ่านกระบวนการแยกก๊าซ เมื่อนำรถยนต์ที่ใช้ก๊าซจากฝั่งตะวันออก วิ่งข้ามไปเติมก๊าซฝั่งตะวันตกจะเกิดปัญหาเครื่องยนต์สะดุด หรือ “น็อกดับ” ด้วยเหตุนี้ ทางบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จึงทำการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ได้มาจากกระบวนการแยกก๊าซ กลับเข้ามาเติมผสมกับก๊าซอ่าวไทยที่ผ่านการแยกก๊าซแล้ว ทั้งนี้เพื่อให้ได้เนื้อก๊าซเอ็นจีวีที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ
ขณะที่มาตรฐานสากลที่ใช้ในหลายต่างประเทศ กำหนดให้มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปนอยู่ในเอ็นจีวีได้ไม่เกิน 3% ของปริมาตร ส่วนมาตรฐาน ISO-11439 หรือ “สเปคถังก๊าซ” กำหนดให้มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ไม่เกิน 4% แต่สำหรับเอ็นจีวีเมืองไทย กรมธุรกิจพลังงานอนุญาตให้มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 18%
การนำก๊าซเอ็นจีวีที่มีคุณสมบัติไม่ตรงตามสเปคของถังก๊าซมาใช้ อาจจะเกิดการกัดกร่อนตรงผนังด้านในของตัวถังก๊าซ ทำให้ถังก๊าซระเบิด หรือมีอายุการใช้งานสั้นลงหรือไม่ และจะเป็นอุบัติภัยสาธารณภัยหรือไม่นั้น รศ.ดร.คณิต วัฒนวิเชียร คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องก๊าซธรรมชาติได้อธิบายเรื่องนี้เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องว่า
แหล่งก๊าซเอ็นจีวีที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันมีอยู่หลายแห่ง แต่ในช่วงเริ่มต้นนั้นใช้จากแหล่งอ่าวไทย ต่อมาก็มีการนำเข้าก๊าซเอ็นจีวีมาจากพม่า ส่วนแหล่งก๊าซธรรมชาติที่สำคัญคือแหล่งก๊าซธรรมชาติน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซเอ็นจีวีที่มีความบริสุทธิ์มาก ยุคแรกๆ นั้นเราใช้เอ็นจีวีป้อนโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า จากนั้นในปี 2520-2521 สมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี เริ่มมีการนำก๊าซธรรมชาติไปใช้เป็นสารตั้งต้นในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยมีการลงทุนวางท่อส่งก๊าซเข้าไปยังนิคมอุตสาหกรรมหลักๆ อย่างในกลุ่มปูนซีเมนต์ไทยที่อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี
จากนั้นถึงจะมีการนำมาใช้กับรถยนต์ ซึ่งเริ่มต้นล่าช้ากว่าภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ แหล่งก๊าซเอ็นจีวีที่ใช้ในรถยนต์หลักๆ มาจากโรงแยกก๊าซที่อ่าวไทย แต่ไม่พอใช้จึงไปเอาก๊าซพม่าที่ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้ามาเสริม จึงมีการลงทุนสร้างท่อก๊าซเข้ามาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อเอามาใช้กับรถยนต์
อ่านต่อตาม ลิ้งนี้ครับ
http://thaipublica.org/2012/05/kanit-on-ngv/ทดสอบถัง