(News 06-01-2009) "วรรณรัตน์"เซ็งเร่งหาทางออกใช้หนี้นำเข้าแอลพีจีปตท. 8,000 ล้านบาท หลัง"อภิสิทธิ์"เบรกปรับขึ้นราคาแอลพีจี 6 บาทต่อกิโลกรัม เหตุราคาตลาดโลกดิ่งเกือบเท่าราคาขายในประเทศ เตรียมถกกพช.สัปดาห์หน้าพร้อมยืดขึ้นราคาเอ็นจีวีแบบไร้กำหนด มั่นใจไม่กระทบแผนลงทุนปตท.มากนัก
น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า หลังจากที่ตนหารือร่วมกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับสถานการณ์ราคาพลังงานในประเทศ โดย เฉพาะราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว(แอลพีจี) เบื้องต้นนายกฯให้ตนกลับไปทบทวนทิศทางราคาแอลพีจี ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรมใหม่ เนื่องจากปัจจุบันพบว่าราคาแอลพีจีในตลาดโลกลดลงมาใกล้เคียงกับในประเทศ
ทั้งนี้ล่าสุดเดือนม.ค.นี้ ราคาแอลพีจีในตลาดโลกลดลงมาอยู่ที่ 358 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากช่วงกลางปีก่อนที่ 900 เหรียญสหรัฐต่อตัน ใกล้เคียงกับราคาขายในประเทศที่ 332 เหรียญสหรัฐต่อตัน ดังนั้นนายกฯจึงเห็นควรให้พิจารณาทบทวนการปรับขึ้นราคาแอลพีจีตามมติของคณะ กรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)เดิม ที่ให้ขึ้นแอลพีจีภาคขนส่งและอุตสาหกรรม 6 บาทต่อกิโลกรัม
อย่างไรก็ดีสัปดาห์หน้าจะหารือ ที่ประชุมกพช.โดยมีนายกฯเป็นประธาน เบื้องต้นตนจะเสนอ 3 แนวทางคือ กรณีที่ไม่ปรับขึ้นราคาแอลพีจี กรณีที่ลอยตัวแอลพีจีทั้งหมด และกรณีแยกแอลพีจี 2 ราคา ว่าควรปรับลดอัตราการปรับขึ้นแอลพีจีลงจากมติเดิมที่ 6 บาทต่อกิโลกรัมหรือไม่ นอกจากนี้คาดว่า กพช.คงจะมีทางออกว่าจะนำเงินส่วนใดมาใช้หนี้ ปตท.ที่ได้นำเข้าแอลพีจีล่วงหน้ามาแล้วประมาณ 8,000 ล้านบาท
"ตอนนี้ราคาแอลพีจีในประเทศก็ขายต่ำกว่าตลาดโลก อย่างไรก็ตามคงไม่มีการลอยตัวราคาแอลพีจี เพราะหากลอยตัวราคาขายปลีกทุกด้านต้องปรับขึ้น ตอนนี้ยังไม่ได้กำหนดว่าจะประชุม กพช.วันไหน เพราต้องรอนายกฯก่อน คาดว่าหากได้ข้อสรุปภายในสัปดาห์หน้า ก็จะมีผลบังคับใช้ภายในเดือนม.ค.นี้"รมว.พลังงาน กล่าว
สำหรับประมาณการนำเข้าแอลพีจีตั้งแต่เดือนเม.ย. จนถึงเดือนธ.ค.2551 ที่ผ่านมาประมาณ 4.4 แสนตัน ส่วนในเดือนม.ค.นี้ ยังไม่ได้รับตัวเลขการนำเข้าดังกล่าว แม้ว่าราคาน้ำมันจะปรับลดลงมากก็ตามแต่ไทยก็จำเป็นต้องนำเข้าแอลพีจีอยู่ แต่ปริมาณนำเข้าอาจลดลงบ้าง
ส่วนการปรับราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในรถยนต์(เอ็นจีวี) นายกฯและกระทรวงพลังงานเห็นสอดคล้องกันว่าควรชะลอการปรับขึ้นราคาเอ็นจีวี ออกไปไม่มีกำหนด เพื่อลดผลกระทบผู้ใช้ก๊าซเอ็นจีวี โดยให้คงราคาจำหน่ายเอ็นจีวี ไว้ที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัมต่อไป และคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการลงทุนของบริษัท ปตท.มากนัก
"แม้ว่ามติ กพช. ปี2550 จะให้มีการปรับขึ้นราคาเป็นไม่เกิน 12 บาทต่อกิโลกรัมหรือไม่เกินครึ่งหนึ่งของราคาดีเซลในปี 2552 และปรับขึ้นไม่เกิน 13 บาทต่อกิโลกรัม ในปี2553 หลังจากนั้นจะมีการลอยตัวแต่ไม่เกินครึ่งหนึ่งของดีเซลก็ตาม โดยสาเหตุที่ต้องการให้ตรึงราคาเพราะในขณะนี้ ประชาชนประสบปัญหาเศรษฐกิจจึงควรชะลอการปรับขึ้นไปก่อน"รมว.พลังงาน กล่าว
น.พ.วรรณรัตน์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ นายกฯ ยังสั่งการให้ กระทรวงพลังงานทำการบ้าน กรณีที่ ครม.อาจจะต่ออายุมาตรการลดค่าครองชีพ 6 มาตรการที่กำหนดครบ 6 เดือนในวันที่31 ม.ค.นี้ โดยในส่วนของการลดค่าไฟฟ้านั้น ควรจะปรับอย่างไรให้เหมาะสมจากที่มาตรการขณะนี้ให้ค่าไฟฟรี สำหรับผู้ใช้ไม่เกิน 80 หน่วยต่อเดือนและให้ลดครึ่งราคาในส่วนสำหรับผู้ใช้ไม่เกิน 150 หน่วย ต่อเดือน ซึ่งกระทรวงฯจะเตรียมข้อมูลทั้งหมด เสนอ ครม.ต่อไป
โดยในส่วนของการจะต่ออายุการลดภาษีน้ำมันดีเซล และแก๊สโซฮอล์ หรือไม่นั้นคงจะขึ้นอยู่กับ กระทรวงการคลังว่าจะเสนอ ครม.อย่างไร ส่วนแนวโน้มค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ(เอฟที) งวดใหม่(ม.ค.-เม.ย.) ที่อาจจะปรับขึ้นมากกว่า 20 สตางค์ต่อหน่วยนั้น เรื่องนี้คงขึ้นอยู่กับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(เรกูเลอเตอร์) จะพิจารณาว่าควรจะปรับขึ้นเท่าใด
ด้านนายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงฯจะเสนอมาตรการปรับราคาแอลพีจีเป็นแบบ 3 แนวทางโดยจะเสนอที่ประชุม กพช.ในสัปดาห์หน้าเช่นกัน คือ การตรึงราคา การปรับ 2 ราคา และการลอยตัวราคา มาตรการดังกล่าวจะทำให้เห็นผลกระทบที่ชัดเจนมากขึ้น
ขณะนายชายน้อย เผื่อนโกสุม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด(มหาชน) หรือ PTTAR และประธานกลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า รัฐควรเร่งการพิจารณาปรับขึ้นราคาแอลพีจีในช่วงนี้ เนื่องจากราคาในตลาดโลกและในประเทศใกล้เคียงกันมาก แต่อาจหามาตรการช่วยเหลือในภาคครัวเรือนต่อไป
อย่างไรก็ตาม ราคาแอลพีจีถูกตรึงมานานมาก ดังนั้นเมื่อถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม ก็ควรจะเร่งปรับราคาให้สะท้อนกลไกตลาดโลก และจากการวิเคราะห์ของหลายสำนัก ประเมินว่าราคาน้ำมันในปีนี้จะเริ่มขยับขึ้นมาอยู่ที่ 50-60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ดังนั้นหลังจากนี้ราคาแอลพีจีก็จะเริ่มขยับขึ้นตามราคาน้ำมัน
"ส่วนตัวมองว่า การแยกราคาแอลพีจี 2 ราคา น่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมกว่าการไม่แยก และ ปล่อยลอยตัวราคาทั้งกระดาน เพราะการดูแลแอลพีจีที่ใช้ในภาคครัวเรือนยังเป็นสิ่งจำเป็นขณะที่การใช้ในภาคอุตสาหกรรมและขนส่งควรต้องถูกปรับขึ้น เพราะกลุ่มนี้เป็นผู้ประกอบการที่นำแอลพีจีไปใช้เป็นเชื้อเพลิง"นายชายน้อย กล่าว
นายจิตรพงษ์ กว้างสุขสถิตย์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT กล่าวว่า จากการที่รัฐบาลให้ชะลอการปรับราคาเอ็นจีวี ออกไปนั้น จะส่งผลกระทบแน่นอน โดยจะทำให้ปตท.ต้องแบกรับภาระขาดทุนมากขึ้น โดยเฉพาะไตรมาส 1/2552 ซึ่งราคาแอลพีจีปรับตัวสูงขึ้นอีก
สำหรับการตรึงราคาเอ็นจีวีที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัมต่อไป ภายใต้สถานการณ์ราคาน้ำมันที่อยู่ในช่วงขาลงนั้น จะไม่เป็นการส่งเสริมให้มีการขยายการลงทุนในธุรกิจเอ็นจีวี เนื่องจากขณะนี้ปตท.ได้เปิดทางให้เอกชนรายอื่นๆเข้ามาลงทุนสถานีบริการเอ็นจีวี
นายณัฐชาติ จารุจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ก๊าซธรรมชาติ สำหรับยานยนต์ปตท.กล่าวว่า ต้นทุนเอ็นจีวีในขณะนี้อยู่ที่ระดับ 14.50 บาทต่อกิโลกรัม ปัจจุบันถูกตรึงราคาจำหน่าย 8.50 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ปตท.มีภาระขาดทุนสะสมแล้ว 7,100 ล้านบาทหากปี 2552 ยังไม่มีการปรับราคาเอ็นจีวีขึ้นอีกจะมีภาระสะสมเพิ่มอีก 4,000 ล้านบาทรวม 11,000 ล้านบาท
http://www.kaohoon.com/pg.newspaper/first_page_detail.aspx?cid=22405