จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,667
วันที่ 4- 7 กันยายน พ.ศ. 2554
www.thanonline.com กระทรวงพลังงาน เตรียมยกเลิกโครงการติดตั้งก๊าซเอ็นจีวีให้แท็กซี่ฟรี 30,000 คัน หลังล้มไม่เป็นท่าล่าช้ามาปีกว่า แต่ยังช่วยเหลือแท็กซี่แอลพีจีให้ไปใช้บัตรเครดิตพลังงานแทน จากการปล่อยลอยตัวแอลพีจี ช่วยประหยัดเงินจากกองทุนน้ำมันฯ 1,200 ล้านบาท ขณะที่ปตท.ผู้ทำบัตรเครดิตพลังงานไม่เห็นด้วย เพราะทำให้เกิดความยุ่งยากในการช่วยเหลือ
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า จากที่กระทรวงพลังงานได้จัดทำโครงการติดตั้งก๊าซเอ็นจีวีให้กับรถแท็กซี่ฟรีจำนวน 30,000 คัน ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ได้อนุมัติงบจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ 1,200 ล้านบาท แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ล่าช้ามากว่า 1 ปี เนื่องจากสถานการณ์ล่าสุดทางบริษัท ออโต้แพน จำกัด ได้รับการคัดเลือกในการจัดหาถังและอุปกรณ์ส่วนควบ แต่เมื่อถึงเวลาส่งมอบอุปกรณ์กลับไม่สามารถจัดหาถังเอ็นจีวีให้ได้ และได้แจ้งขอยกเลิกสัญญาซื้อขายถังก๊าซเอ็นจีวีและอุปกรณ์ส่วนควบจำนวน 15,000 ชุด มูลค่า 250.5 ล้านบาทกับทางผู้ผลิต จึงทำให้ไม่สามารถส่งมอบถังและอุปกรณ์ส่วนควบได้ และกระทบต่อมายังโครงการไม่สามารถเดินหน้าตามที่กำหนดไว้ที่จะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคมนี้ได้ แม้จะมีแท็กซี่สมัครเข้าร่วมโครงการจำนวน 5,834 รายก็ตาม
อย่างไรก็ดีจากการประชุมผู้บริหารของกระทรวงพลังงานที่ผ่านมา ได้มีความเห็นว่า
รัฐบาลใหม่มีนโยบายที่จะปรับลอยตัวราคาก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจีในภาคขนส่ง และจะออกบัตรเครดิตพลังงาน เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ได้ที่รับผลกระทบเป็นเฉพาะกลุ่มให้สามารถเติมก๊าซได้ในราคาเดิม ซึ่งรถแท็กซี่ก็เข้าอยู่ในข่ายนั้นด้วย ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเดินหน้าโครงการนี้ต่อไป เพราะประเมินแล้วว่า หากบัตรเครดิตพลังงานมีผล จะทำให้รถแท็กซี่ไม่หันมาเปลี่ยนเป็นก๊าซเอ็นจีวี เพราะไม่ได้รับผลกระทบจากราคาที่ปรับขึ้นไป จึงเห็นควรว่าให้ยกเลิกโครงการและนำเงินที่กันไว้จากโครงการนี้คืนให้กับกองทุนน้ำมันฯ เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับกองทุนน้ำมันฯทางหนึ่ง หลังจากที่รัฐบาลประกาศยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯของเบนซินและดีเซล โดยล่าสุดนายณอคุณ สิทธิพงศ์ ปลัดกระทรวงพลังงาน ก็ได้ลงนามยกเลิกการว่าจ้างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะที่ปรึกษาการทำลายซากถังแอลพีจีจากโครงการแล้ว
ทั้งนี้ โครงการติดตั้งก๊าซเอ็นจีวีให้กับรถแท็กซี่ฟรีนั้น แต่เดิมประเมินว่า หากดำเนินการได้สำเร็จจำนวน 30,000 คัน จะช่วยประเทศชาติลดการนำเข้าแอลพีจีได้ 30,000 ตันต่อเดือน หรือลดเงินชดเชยส่วนต่างราคาก๊าซนำเข้าได้เกือบ 500 ล้านบาทต่อเดือนจากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 2,500 ล้านบาทต่อเดือน แต่หากมีการยกเลิกโครงการนี้ เท่ากับว่าการนำเข้าแอลพีจีจะยังอยู่ในระดับสูงต่อไป โดยเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมามียอดนำเข้าอยู่ที่ 146,400 ตัน
นายณัฐชาติ จารุจินดา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลยุทธ์องค์กร บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่าการที่กระทรวงพลังงานจะยกเลิกโครงการติดตั้งก๊าซเอ็นจีวีให้กับรถแท็กซี่ฟรี เนื่องจากจะมีโครงการบัตรเครดิตพลังงานมาใช้นั้น ไม่เห็นด้วย เพราะหากรถแท็กซี่สามารถเปลี่ยนมาใช้ก๊าซเอ็นจีวีได้ทั้งหมด ก็ไม่จำเป็นต้องไปดูแลกลุ่มรถแท็กซี่ที่ยังใช้ก๊าซแอลพีจีอยู่ และการดำเนินงานเฉพาะในส่วนรถแท็กซี่ที่ใช้เอ็นจีวีก็จะมีความสะดวกมากกว่าที่จะต้องไปดูแลกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้แอลพีจี แต่อย่างใดก็ตาม ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของกระทรวงพลังงานว่าจะดำเนินการกับรถแท็กซี่ที่ใช้แอลพีจีอยู่อย่างไร
นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าทางกระทรวงพลังงานจะเดินหน้าโครงการติดตั้งก๊าซเอ็นจีวีให้กับรถแท็กซี่ฟรีหรือไม่ เพราะหากยังมีความประสงค์ของรถแท็กซี่อยู่จำนวนมาก ก็ควรจะดำเนินการต่อไป แต่หากไม่มีความประสงค์จะปรับเปลี่ยน ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำต่อไป เพื่อที่จะได้นำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่กันไว้สำหรับโครงการนี้ 1,200 ล้านบาท มาคืนกองทุนน้ำมันฯ ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯมีสถานะดีขึ้น
ที่สำคัญการที่รัฐบาลจะปล่อยลอยตัวราคาก๊าซแอลพีจีในภาคขนส่ง แต่ยังช่วยเหลือกลุ่มแท็กซี่ที่ใช้แอลพีจีอยู่ในรูปของการออกบัตรเครดิตพลังงานให้นั้น จะช่วยให้ลดการนำเข้าและใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯชดเชยการนำเข้าได้ค่อนข้างมากภาพประกอบข่าว Taxi ติด NGV ไฟไหม้หน้าปั้ม ปตท.พอดี ครับท่านผู้ชม โปรดติดตาม นโยบายพลังงาน ที่แสนจะสุด ตรีน.. กันต่อไป