![](http://www.thanonline.com/images/stories/article2011/2632/103.jpg)
ภาครัฐยอมจ่ายค่าชดเชยการก่อสร้างคลังแอลพีจีมูลค่า 33,840 ล้านบาท ให้ปตท.ลุยลงทุน หลังบ่ายเบี่ยงไม่ยอมเดินหน้า โดยจะผลักภาระที่เกิดขึ้นให้ประชาชนรับแทน เพื่อรองรับการนำเข้าก๊าซที่พุ่งสูงขึ้นเกือบ 3 แสนตันต่อเดือนในอีก 5 ปี กระทรวงพลังงานระบุ ภาระที่เกิดขึ้นจะบวกอยู่ในเนื้อก๊าซที่ผู้บริโภคต้องจ่ายแพงขึ้นจาก 18.13 บาทต่อกก. เพื่อแลกกับประเทศต้องประสบปัญหาการขาดแคลน
นายณัฐชาติ จารุจินดา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลยุทธ์องค์กร บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)(บมจ.) เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า จากที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ได้มีมติมอบหมายให้ บมจ.ปตท.ไปเร่งดำเนินการขยายระบบคลัง ท่าเรือ และระบบการจ่ายก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจีทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนถึง 33,840 ล้านบาทนั้น ในส่วนนี้ทางบมจ.ปตท.จะต้องมีความแน่ใจว่าทางภาครัฐจะดำเนินการชดเชยการลงทุนในรูปแบบต่างๆ ให้ ไม่ว่าจะเป็นการชดเชยค่าผ่านท่อจากการนำเข้าก๊าซแอลพีจีมาเข้าคลัง จากปัจจุบันจะได้รับเพียงการชดเชยค่าเนื้อก๊าซเท่านั้น รวมถึงการชดเชยขนถ่ายเนื้อก๊าซจากเรือลงท่าเรือ รวมถึงการชดเชยการลงทุนแทนการนำเรือแอลพีจีมาลอยที่มีค่าใช้จ่ายสูง เป็นต้น
ทั้งหมดนี้ จะต้องนำมาคำนวณว่าการจัดหาก๊าซแอลพีจีเพิ่มขึ้นมาแต่ละตันเป็นต้นทุนเท่าไร ซึ่งจะต้องเจรจากับภาครัฐ เพื่อไม่ให้บมจ.ปตท.แบกรับภาระจากการลงทุนนี้มากจนเกินไป เพราะที่ผ่านมาความต้องการใช้ก๊าซแอลพีจีที่เพิ่มสูงขึ้นเกิดจากการตรึงราคาของรัฐบาล เมื่อคลังไม่สามารถรับการนำเข้าได้ จะมาบีบให้บมจ.ปตท.ลงทุนเพิ่มจึงไม่ถูกต้อง เนื่องจากปัจจุบันก็รับภาระดอกเบี้ยจากการชดเชยการนำเข้าแอลพีจีอยู่แล้ว แต่หากมีการชดเชยการลงทุนให้และเจรจาได้ข้อยุติโดยเร็ว บมจ.ปตท.ก็พร้อมที่จะเดินหน้าลงทุนในการขยายคลังและระบบจ่ายก๊าซแอลพีจีในปีนี้ เพราะหากล่าช้าการจัดหาก๊าซหุงต้มจะไม่เพียงพอในระยะอันใกล้นี้
เนื่องจากทางกระทรวงพลังงานมีการประมาณการความต้องการใช้ก๊าซหุงต้มในช่วงปี 2554-2560 จะมีการเติบโตในส่วนของภาคครัวเรือนอยู่ที่ 8 % ภาคขนส่ง 9 % และภาคอุตสาหกรรม 6 % แม้หากมีการปล่อยลอยตัวก๊าซหุงต้มให้สะท้อนตามต้นทุนที่เป็นจริงตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นไปก็ตาม แต่อัตราการขยายตัวของความต้องการใช้ก็ยังเติบโตในระดับที่ลดลง โดยภาคครัวเรือนจะลดลงอยู่ระดับ 5 % ภาคขนส่ง 3 % และภาคอุตสาหกรรม 4 % ในขณะที่การผลิตในประเทศมีจำกัดอยู่ที่ 466,000 ตันต่อเดือน แต่ความต้องการใช้เฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 579,000 ตันต่อเดือน จึงทำให้ต้องนำเข้าจากต่างประเทศมาเสริมความต้องการมากขึ้นในแต่ละปี โดยในปีหน้ามีการประเมินว่าความต้องการใช้ในแต่ละเดือนจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 599,000 ตันต่อเดือน ปี 2556 เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 628,000 ตันต่อเดือน ปี 2557 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 659,000 ตันต่อเดือน ปี 2558 เพิ่มขึ้นมาที่ 693,000 ตันต่อเดือน ปี 2559 เพิ่มขึ้นมาที่ 730,000 ตันต่อเดือน และปี 2560 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 763,000 ตันต่อเดือน ซึ่งจะทำให้ต้องมีการนำเข้าก๊าซหุงต้มเพิ่มสูงขึ้น โดยในปีนี้นำเข้ามาเฉลี่ยอยู่ที่ 113,000 ตันต่อเดือน ปี 2555 เพิ่มขึ้นที่ 133,000 ตันต่อเดือน ปี 2556 เพิ่มขึ้นเป็น 162,000 ตันต่อเดือน ปี 2557 เพิ่มมาอยู่ที่ 193,000 ตันต่อเดือน ปี 2558 เพิ่มมาเป็น 227,000 ตันต่อเดือน ปี 2559 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 264,000 ตันต่อเดือน และปี 2560 เพิ่มมาอยู่ที่ 297,000 ตันต่อเดือน
นายณัฐชาติ กล่าวอีกว่า ในขณะที่คลังเขาบ่อยา จังหวัดชลบุรี ปัจจุบันมีความสามารถในการรองรับการนำเข้าก๊าซหุงต้มได้ 132,000 ตันต่อเดือน ดังนั้น ในแผนการลงทุนทางบมจ.ปตท.จะต้องไปขยายระบบคลังและท่าเรือที่เขาบ่อยา ให้มีความสามารถรองรับการนำเข้าเพิ่มเป็น 250,000 ตันต่อเดือน ที่จะต้องไปดำเนินการก่อสร้างถังเย็นรองรับการนำเข้าขนาดความจุ 25,000 ตัน จำนวน 2 ถัง และก่อสร้างถังบรรจุก๊าซแอลพีจีขนาดความจุ 2,000 ตัน จำนวน 2 ถัง รวมถึงท่าเรือขนาดใหญ่ที่รองรับเรือนำเข้าขนาด 100,000 ตัน จำนวน 1 ท่า และท่าเรือขนาดเล็กอีก 1 ท่า ใช้งบในส่วนนี้ประมาณ 7,400 ล้านบาท ซึ่งจะใช้ระยะเวลาการดำเนินงาน 4 ปี นับจากนี้ไป เพราะจะต้องทำรายงานศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอด้วย ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2558
นอกจากนี้ มีการประเมินว่า หากรัฐบาลจะยังควบคุมราคาก๊าซหุงต้มในประเทศอยู่ที่ 333 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตันหรือ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม จะทำให้ปริมาณการนำเข้าขยายตัวสูงมากขึ้นหลังจากปี 2559 ไปแล้ว ทำให้ต้องมีการเตรียมการหาสถานที่ใหม่ เพื่อรองรับการก่อสร้างคลังก๊าซแอลพีจีเพิ่มขึ้นมาใหม่ เพื่อรับก๊าซ ในปริมาณ 250,000 ตันต่อเดือน ซึ่งในส่วนนี้จะต้องใช้เงินลงทุนอีกประมาณ 15,170 ล้านบาท ที่คาดว่าจะใช้ระยะเวลาจากนี้ไป 5-6 ปี
อีกทั้งเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการกระจายการส่งก๊าซนั้น ทางกพช.มีมติให้บมจ.ปตท.ไปดำเนินการขยายคลังจ่ายก๊าซแอลพีจีบ้านโรงโป๊ะ จังหวัดชลบุรี เพื่อขยายการส่งแอลพีจีไปยังคลังภูมิภาคต่างๆ ที่จะรองรับความต้องการในอนาคตอย่างเพียงพอ ซึ่งจะต้องไปดำเนินการขยายกำลังการจ่ายแอลพีจีทางรถยนต์ โดยเพิ่มช่องจ่ายทางรถยนต์อีก 6 ช่อง ทำให้สามารถจ่ายก๊าซเพิ่มได้อีก 66,000 ตันต่อเดือน จากเดิม 110,000 ตันต่อเดือนเป็น 176,000 ตันต่อเดือน ซึ่งจะใช้เวลาในการก่อสร้างส่วนนี้ 1 ปีหรือแล้วเสร็จในปีหน้า
รวมถึงต้องไปขยายกำลังการจ่ายก๊าซแอลพีจีทางรถไฟ ที่จะต้องเพิ่มหัวรถจักรอีก 17 หัว ตู้รถไฟขนส่งก๊าซอีก 218 ตู้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มการจ่ายก๊าซได้ 64,000 ตันต่อเดือน จาก 36,000 ตันต่อเดือน เป็น 100,000 ตันต่อเดือน โดยจะใช้เวลาในการจัดหาอุปกรณ์และติดตั้งประมาณ 3 ปี ดังนั้น เมื่อรวมการขยายกำลังการจ่ายก๊าซทางรถยนต์และรถไฟ จะทำให้คลังบ้านโรงโป๊ะสามารถจ่ายก๊าซได้ 276,000 ตันต่อเดือน โดยทั้ง 2 สวนนี้จะใช้เงินลงทุนประมาณ 6,840 ล้านบาท
อีกทั้ง ต้องก่อสร้างคลังแห่งใหม่สำหรับจ่ายก๊าซแอลพีจีให้กับลูกค้าของบมจ.ปตท.ภาคกลาง ภาคตะวันตก และภาคใต้ตอนบน ที่จะใช้งบอีกประมาณ 3,360 ล้านบาท และขยายคลังที่ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี นครสวรรค์ และสงขลาอีก 420 ล้านบาท
ด้านนายวีรพล จิรประดิษฐกุล อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผยว่า ในการขยายระบบคลังที่มีอยู่และจะมีการก่อสร้างคลังก๊าซแอลพีจีในอนาคตนั้น ในเบื้องต้นได้มีการหารือกับทางบมจ.ปตท.แล้วว่าจะมีการพิจารณาให้ค่าชดเชยในรูปแบบค่าบริการคลังก๊าซที่ได้ลงทุนไป จากเดิมที่ไม่เคยได้รับ โดยค่าชดเชยที่ได้รับนี้ จะไปรวมอยู่ในต้นทุนค่าเนื้อก๊าซ ส่วนจะเป็นในอัตราที่เท่าใดนั้น จะต้องรอให้การก่อสร้างแล้วเสร็จเสียก่อน เพื่อที่จะทราบเม็ดเงินลงทุนจริง และมาคำนวณเป็นต้นทุนเนื้อก๊าซแอลพีจีจะอยู่ที่เท่าใด
ดังนั้น ต้นทุนที่เกิดจากการลงทุนนี้ จะทำให้ราคาแอลพีจีปรับเพิ่มขึ้นจากที่ตรึงอยู่ในปัจจุบัน 18.13 บาทต่อกก. ซึ่งจะมีผลในอีกประมาณ 4 ปีข้างหน้าหลังจากมีการขยายและก่อสร้างคลังใหม่เสร็จสิ้นและเปิดใช้งานได้แล้ว เพราะหากไม่มีค่าชดเชยในส่วนนี้ขึ้นมา ทางบมจ.ปตท.ก็จะไม่มีการลงทุน เนื่องจากต้องแบกรับภาระค่อนข้างมากจากการควบคุมราคาก๊าซหุงต้มจากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,632 วันที่ 5-7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
www.thanonline.com