ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4278
อุปกรณ์ซีเอ็นจี ส้มหล่น ตรึงอัตราเดิมถึงสิ้นปี 54![](http://www.iwebgas.com/upic/ie.php/f43b80ee65f06c42.jpg)
ธุรกิจติดตั้งซีเอ็นจียิ้ม ครม.ต่ออายุลดภาษีนำเข้าถังก๊าซและอุปกรณ์ควบคุมก๊าซเอ็นจีวีเหลือ 0% ถึงสิ้นปี ส่วนปี"55 เริ่มเก็บภาษี 10% ผู้ผลิตคาดปรับภาษีเพิ่ม ราคาสินค้าพุ่ง ลดโอกาสผู้บริโภคใช้รถเอ็นจีวี
มติคณะรัฐมนตรี เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เห็นชอบร่างกฎกระทรวงการคลัง 2 ฉบับ ให้ยกเว้นและลดภาษีนำเข้าอุปกรณ์ชิ้นส่วนยานยนต์ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการผลิตรถยนต์ในประเทศ และส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติ (เอ็นจีวี) เป็นเชื้อเพลิง ด้วยการลดภาษีถังก๊าซซีเอ็นจี หรือเอ็นจีวี ที่ทำจากเหล็กกล้า จาก 17% เหลือ 0% จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2554 จากนั้นในวันที่ 1 มกราคม 2555 จะจัดเก็บที่อัตรา 10% และเห็นชอบลดภาษีอุปกรณ์ควบคุมการใช้ก๊าซซีเอ็นจี จาก 35% เหลือ 0% จากนั้นในวันที่ 1 มกราคม 2555 จะจัดเก็บที่อัตรา 10% ส่งผลให้ผู้ประกอบการเร่งมือทำตลาดกันอย่างหนักหน่วง
นายสุรยุทธิ์ โพธิ์ศิริสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามมิตร กรีน พาวเวอร์ จำกัด ผู้ให้บริการดัดแปลงและติดตั้งเครื่องยนต์เอ็นจีวีกล่าวถึงการต่ออายุลดภาษี ดังกล่าวว่า การปรับลดภาษีลงเหลือ 0% นั้นเป็นการกระตุ้นการใช้พลังงานในประเทศ ส่งผลดีต่อบริษัทผู้ติดตั้ง รวมถึงผู้บริโภค ซึ่งการลดภาษีก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หลายบริษัทที่เป็นผู้รับดัดแปลง และติดตั้งอุปกรณ์เครื่องยนต์เอ็นจีวีนั้นเกิดความสนใจในการทำตลาดมากยิ่ง ขึ้น
บริษัทจึงมีแผนตั้งรับการเข้ามาของผู้เล่นรายอื่น ๆ ในตลาดด้วยการพัฒนาด้านผลิตภัณฑ์ โดยมุ่งตอบโจทย์แก่ลูกค้าด้านความคุ้มค่าทั้งรถที่ใช้เพื่อการพาณิชย์ และรถที่ใช้ในครอบครัวเป็นหลัก พร้อมขยายช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านดีลเลอร์ไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีดีลเลอร์ อยู่รวม 6 ราย เฉพาะในกรุงเทพฯและ
ปริมณฑล รวมถึงให้ความสำคัญด้านการตลาด โดยใช้งบประมาณ 15% ของรายได้ เพื่อจัดโรดโชว์ประชาสัมพันธ์สินค้าให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างแก่ลูกค้าใน กรุงเทพฯและต่างจังหวัด
"เรานำเข้าถังก๊าซและอุปกรณ์ควบคุมจากหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้กำหนดอัตราภาษีนำเข้าเหลือ 0% ก็ส่งผลดี ทำให้เรามีต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง เป็นแรงจูงใจสำหรับผู้เล่นรายใหม่ที่จะเข้ามาทำตลาดมากขึ้น ซึ่งแต่ละบริษัทก็ต้องพยายามพัฒนาสินค้าให้แตกต่างกัน แต่การที่เราใช้เวลาพัฒนาระบบซีเอ็นจี 2 ปีใช้เงินลงทุนด้านวิจัยและพัฒนากว่า 1,000 ล้านบาท และเรายังมีความพร้อมในการลงทุนด้านผลิตภัณฑ์และช่องทางการจำหน่าย เพื่อพัฒนาธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่อง" นายสุรยุทธิ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายสุรยุทธิ์กล่าวว่า หากรัฐบาลปรับขึ้นภาษีในส่วนของถังก๊าซและอุปกรณ์ควบคุมการใช้ก๊าซขึ้นอีก 10% หลังจากวันที่ 31 ธันวาคมปีนี้นั้น ก็จะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นอย่างแน่นอน เพราะบริษัทนำเข้าสินค้าจากอิตาลี ญี่ปุ่น และจีน จะทำให้ผู้ใช้ผู้บริโภคต้องซื้อสินค้าในราคาที่สูงกว่าเดิมอย่างแน่นอน
ด้าน นายพิทยา ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีเอฟเอ็ม มินิทรั๊ค (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถบรรทุกขนาดเล็กแบรนด์ "ดีเอฟเอ็ม" กล่าวว่า การมีมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเป็นการตอกย้ำนโยบาย ส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ซึ่งส่งผลดีต่อผู้ประกอบการ ทำให้ต้นทุนการผลิตยังคงเดิม โดยบริษัทดีเอฟเอ็ม มินิทรั๊คนั้น ก็ได้ใช้ชิ้นส่วนควบคุมระบบแก๊สแบรนด์ "โลวาโต้" จากประเทศอิตาลี ที่นำเข้าโดยซัพพลายเออร์ในประเทศ ส่งผลให้บริษัทซัพพลายเออร์ยังคงจำหน่ายชุดอุปกรณ์ให้แก่ดีเอฟเอ็มในราคา เดิม
แต่ในอนาคตหากมีการปรับโครงสร้างภาษีนำเข้าเพิ่ม ก็จะทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ทำให้มี แนวโน้มว่าต้องปรับราคาสินค้าเพิ่ม ซึ่งทำ ให้ผู้บริโภคอาจชะลอการตัดสินใจใช้รถยนต์ที่เป็นพลังงานธรรมชาติได้ส่วน หนึ่ง
"การต่ออายุปรับลดโครงสร้างภาษีนำเข้าสำหรับถังก๊าซและอุปกรณ์ เอ็นจีวีเหลือ 10% ในตอนนี้นั้นถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดี เพราะราคาน้ำมันสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน และทำให้ผู้ประกอบการหลายรายมีศักยภาพในการแข่งขันที่สูงขึ้น เนื่องจากราคาต้นทุน ทำให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันในตลาดได้ รวมถึงเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายใหม่ในตลาดมีแรงจูงใจ และมีโอกาสเข้ามาทำตลาดมากขึ้น ถือว่าเป็นการกระตุ้นตลาดรถยนต์ซีเอ็นจีให้มีความคึกคักมากยิ่งขึ้น" นายพิทยากล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาพรวมของตลาดติดตั้งก๊าซเอ็นจีวีในปี 2553 ที่ผ่านมาน่าจะมีจำนวนประมาณ 30,000 คัน โดยแต่ละค่ายมียอดขายที่โดดเด่น เช่น เชฟโรเลตขายได้ 3,500 คัน โปรตอน 851 คัน มิตซูบิชิประมาณ 5,800 คัน