LPG/ NGVไม่ปลื้มภาคขนส่งเมิน ลุ้นน้ำมันดิบแตะ75 ดอลล์/บาร์เรล ดันความต้องการพุ่ง![](http://www.siamturakij.com/home/administrator/news/img_news/siamturakij_special_887.jpg)
กรมธุรกิจพลังงาน ยันความต้องการใช้ก๊าซแอลพีจีและเอ็นจีวีในภาคขนส่ง ยังไม่พุ่งตามราคาน้ำมัน เผยยอด 6 เดือนเพิ่มแค่เล็กน้อย เหตุประชาชนยังรับราคาน้ำมันได้อยู่ แต่ต้องนำเข้าแอลพีจีเพิ่มป้อนปิโตรเคมี เดือนก.ค.ยอดนำเข้าพุ่งไปที่ 70,000 ตัน เผยขณะนี้มียอดเงินชดเชยสะสมแล้ว 722 ล้านบาท ชี้หากน้ำมันดิบแตะที่ 75 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ยอดใช้พลังงานทางเลือกพุ่งแน่
นางพูนทรัพย์ สกุณี ผู้อำนวยการสำนักบริการธุรกิจและการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิง กรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ถึงความต้องการใช้ก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจี และก๊าซเอ็นจีวีในภาคขนส่งว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสเมื่อต้นปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับกว่า 30 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล และในปัจจุบันปรับขึ้นมาอยู่ในระดับประมาณ 70 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ยังไม่ส่งผลให้ประชาชนหันมาใช้ก๊าซหุงต้ม และก๊าซเอ็นจีวี ในภาคขนส่งเพิ่มขึ้นมากนัก ตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นไปเกือบเท่าตัว
เห็นได้จากยอดการใช้ก๊าซหุงต้มในภาคขนส่งในเดือนมกราคม2552 มียอดการใช้อยู่ที่ 55,800 ตัน และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในเดือนมิถุนายนมาอยู่ที่ระดับ 56,000 ตัน ขณะที่การใช้ก๊าซเอ็นจีวีเมื่อช่วงเดือนมกราคมอยู่ที่ 116.7 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และเพิ่มมาอยู่ที่ประมาณ 133 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
สำหรับปัจจัยที่ยังทำให้ปริมาณการใช้ก๊าซแอลพีจีและเอ็นจีวียังไม่เพิ่มขึ้น มากนัก น่าจะมาจากประชาชนยังสามารถรับกับราคาน้ำมันที่ยังไม่ปรับตัวสูงมากเหมือนใน ปีที่ผ่านมาได้ ประกอบกับค่าติดตั้งก๊าซแอลพีจีและเอ็นจีวี ที่ผ่านมาก็ไม่ได้ปรับตัวลดลงมากนัก แม้ราคาน้ำมันจะปรับตัวลดลงจากปีก่อน และภาวะเศรษฐกิจจะถดถอยก็ตาม
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความต้องการใช้ก๊าซแอลพีจีในภาคขนส่งจะอยู่ในภาวะทรงตัวก็ตาม แต่ประเทศก็ยังจะต้องนำเข้าก๊าซแอลพีจีจากต่างประเทศอยู่ โดยนับจากช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาจนถึงเดือนมิถุนายน 2552 ได้มีการนำเข้าแล้วประมาณ 184,166 ตัน ซึ่งต้องใช้เงินชดเชยจากการนำเข้าแล้วประมาณ 722 ล้านบาท ในขณะที่ ในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ จะมีการนำเข้าอีก 70,000 ตัน ซึ่งการนำเข้าดังกล่าวส่วนใหญ่จะถูกนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรม ปิโตรเคมี ส่วนการใช้ก๊าซเอ็นจีวีนั้น คาดว่าหลังจากนี้ไป ความต้องการน่าจะเพิ่มขึ้นบ้าง หลังจากที่บริษัท ปตท.ฯได้ทำการขยายสถานีบริการเพิ่มมากขึ้น
นายศิริศักดิ์ วิทยอุดม รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผยว่า หากราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 5 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล หรืออยู่ประมาณ 75 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล คาดว่าประชาชนจะหันมาให้ความสนใจพลังงานทางเลือกเหมือนกับปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการใช้ก๊าซแอลพีจีน่าจะมีความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นมาก
ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเกิดมาจากศาลปกครองได้คุ้มครองชั่วคราวกรณีรถแท็กซี่ใหม่ไม่จำเป็น ต้องติดตั้งก๊าซเอ็นจีวีนับตั้งแต่ 1 มกราคม 2552 เป็นต้นมานั้น จะทำให้รถแท็กซี่ใหม่หันไปติดตั้งก๊าซแอลพีจีแทน ซึ่งจากการทำการสำรวจพบว่า รถแท็กซี่ที่ออกมา 4 คัน จะมีรถยนต์ที่ใช้ก๊าซเอ็นจีวีเพียง 1 คันเท่านั้น ในขณะที่แต่ละปีจะมีรถแท็กซี่ที่ออกมาใหม่ประมาณ 8,000 คัน เท่ากับว่าจะมีรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซเอ็นจีวีเพียง 2,000 คันเท่านั้น ที่เหลือจะเป็นรถแท็กซี่ที่ใช้แอลพีจี
ทั้งนี้ จากสถิติข้อมูลของกรมการขนส่งทางบก รายงานว่า ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2552 มีรถยนต์ที่ใช้ก๊าซแอลพีจีและเบนซิน 516,265 คัน และเป็นรถยนต์ที่ใช้ก๊าซแอลพีจีและดีเซล จำนวน 5,716 คัน และรถยนต์ที่ใช้แอลพีจี 19,876 คัน
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2440 02 ก.ค. - 04 ก.ค. 2552