ทำไมต้องอิงราคาน้ำมัน ที่สิงคโปร์ ![](http://www.ngthai.com/0812/images/feat_1.jpg)
คำถามสุดฮิตที่ผมได้รับเวลาไปบรรยายเรื่องเกี่ยวกับน้ำมันทุกครั้งก็คือ ทำไมประเทศไทยต้องตั้งราคาน้ำมันในประเทศโดยไปอ้างอิงราคาน้ำมันที่สิงคโปร์ เราตั้งราคาของเราเองไม่ได้หรือ ซึ่งผมก็ตอบไปทุกครั้งว่าได้ แต่ที่เราอ้างอิงราคาน้ำมันที่สิงคโปร์ เพราะต้องการตั้งราคาให้สอดคล้องราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยใช้ตลาดสิงคโปร์เป็น Reference ซึ่งก็เหมือนกับเวลาเราซื้อขายข้าว เราก็ต้องอ้างอิงราคาท่าข้าวกำนันทรงซึ่งเป็นตลาดกลางซื้อขายข้าวที่ใหญ่ที่ สุดในประเทศไทย หรือถ้าเราซื้อขายผักและผลไม้เราก็ต้องอ้างอิงราคาผักผลไม้ที่ตลาดไทเป็นต้น
ความจริงก็คือไม่ว่าจะตั้งราคาน้ำมันในประเทศไทยโดยอ้างอิงราคาน้ำมันที่ สิงคโปร์หรือไม่ ราคาในประเทศก็ไม่ต่างกันมากนักหรอกครับ ถ้าค่าการกลั่น (GRM หรือ Gross Refining Margin) เท่ากัน
สมมติว่ามีโรงกลั่นน้ำมัน 2 โรง ตั้งอยู่ในประเทศไทย 1 โรง และอยู่ในประเทศสิงคโปร์อีก 1 โรง โรงกลั่นทั้ง 2 มีขนาด (กำลังการกลั่น) เท่าๆ กัน มีกระบวนการกลั่น (เป็น Complex Refinery หรือ Simple Refinery) เหมือนๆ กัน และใช้น้ำมันดิบชนิดเดียวกันหรือหลายชนิดมาผสม (Blending) เหมือนกันในอัตราส่วนเท่าๆ กัน ต้นทุนในการผลิตของโรงกลั่นทั้ง 2 โรงนี้ก็จะพอๆ กัน แตกต่างกันไม่มาก โรงกลั่นในสิงคโปร์อาจจะได้เปรียบโรงกลั่นในไทยเล็กน้อย เพราะค่าขนส่งถูกกว่า (เรือบรรทุกน้ำมันต้องผ่านสิงคโปร์ก่อน) และมีต้นทุนในเรื่องการบริหารถูกกว่าเพราะมีท่าเรือที่ใหญ่และกระบวนการ จัดการด้านภาษีที่รวดเร็วและง่ายกว่า เพราะเป็นเมืองท่าปลอดภาษี ดังนั้นอาจจะมีต้นทุนที่ถูกกว่าโรงกลั่นน้ำมันในไทยเล็กน้อย
ดังนั้นสิ่งที่จะทำให้ราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น 2 แห่งนี้ต่างกันมากน้อยแค่ไหน ก็อยู่ที่กำไรก่อนหักค่าใช้จ่าย (GRM) ของโรงกลั่นทั้งสองนั่นเอง ถ้าตั้ง GRM เท่ากัน ราคาหน้าโรงกลั่นก็จะพอๆ กัน ถ้า GRM ต่างกัน ราคาก็จะต่างกัน มากน้อยแล้วแต่ใครจะเอากำไรมากน้อยกว่ากัน
ทั้งนี้การเรียกร้องให้โรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทยตั้งราคาเองโดยไม่ต้องไป อ้างอิงราคาที่สิงคโปร์นั้น ก็คือการเรียกร้องให้เราตั้ง GRM ของเราเอง โดยไม่ต้องไปสนใจ GRM ของโรงกลั่นในสิงคโปร์นั่นเอง ซึ่งโดยปกติ GRM ของโรงกลั่นในสิงคโปร์นั้นจะผันแปรไปตามส่วนต่าง (Spread) ของราคาน้ำมันดิบและราคาน้ำมันสำเร็จรูป ซึ่งอาจจะสูงบ้างต่ำบ้าง แล้วแต่ Spread นี้จะกว้างขึ้นหรือแคบลงขนาดไหน ซึ่งเป็นไปตามกลไกตลาดและราคาในตลาดโลก
ดังนั้นถ้าเราไม่อ้างอิงราคาที่ตลาดสิงคโปร์ สิ่งที่เราต้องทำก็คือเราต้องบอกว่าจะกำหนดให้ GRM ของโรงกลั่นในประเทศไทยอยู่ที่เท่าไร ก็พูดมาให้ชัด โรงกลั่นน้ำมันจะได้บวกค่า GRM เข้าไปกับต้นทุนการผลิต (ซึ่งพอๆ กับสิงคโปร์) แล้วตั้งเป็นราคาขายหน้าโรงกลั่นของเราเองได้
ถ้าเราตัดสินใจทำอย่างนั้น ผลที่จะเกิดอะไรขึ้นต่อธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทย ซึ่งผมคิดว่า จะเกิดระบบ Fixed Margin ขึ้น โดยโรงกลั่นทุกโรงจะคิดค่าการกลั่นในอัตราเดียวกันหมด ซึ่งน่าจะเป็น 7-8 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล จึงจะคุ้มการลงทุนสำหรับโรงกลั่นใหม่ๆ ส่วนโรงกลั่นเก่าๆ แค่ 4-5 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลก็พออยู่ได้แล้ว การดำเนินธุรกิจโรงกลั่นในประเทศไทยก็จะไม่มีความเสี่ยง หรือลดความเสี่ยงลงไปเพราะค่าการกลั่นแน่นอน ได้กำไรแน่ๆ
และถ้ารัฐบาลมองว่าค่าการกลั่นที่โรงกลั่นตั้ง (7-8 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล) สูงเกินไปและเข้ามาควบคุมให้อยู่ระดับ 4-5 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ก็กลายเป็นว่ารัฐบาลกลับมาควบคุมราคาหน้าโรงกลั่นและแทรกแซงราคาหน้าโรง กลั่นกันอีกครั้ง หลังจากที่เราพยายามปล่อยลอยตัวราคาน้ำมันกันมานานแล้ว
อีกทั้งการกำหนดค่าการกลั่นตายตัวหรือกำหนดเป็นเพดานก็ตาม ถ้าต่ำจนเกินไปจะทำให้การลงทุนในโรงกลั่นน้ำมันลดน้อยลง และจะไม่มีโรงกลั่นใหม่ๆ เกิดขึ้น หรือโรงกลั่นที่มีอยู่ก็จะไม่ลงทุนเพิ่มเพื่อขยายกำลังการผลิต แต่ถ้ากำหนดสูงเกินไปก็เป็นการเอาเปรียบประชาชนผู้บริโภคและผลักภาระความ เสี่ยงในการดำเนินธุรกิจไปสู่ประชาชน
ดังนั้นจะเห็นว่าการจะอ้างอิงราคาน้ำมันที่สิงคโปร์ หรือเราจะตั้งราคาน้ำมันของเราเองนั้น
ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
แต่เรื่องสำคัญอยู่ที่นโยบายว่าเราพร้อมจะปล่อยให้ราคาน้ำมันในประเทศ เปลี่ยนแปลงไปตามภาวะการแข่งขันและการขึ้นลงของราคาน้ำมันในตลาดโลกหรือไม่ หรือเราจะเข้าไปแทรกแซงและควบคุมเพื่อให้ได้ชื่อว่าเราตั้งราคาน้ำมันของเรา เองโดยไม่ต้องไปสนใจตลาดสิงคโปร์
![](http://www.thannews.th.com/images/body/secHead/HEAD-THA.gif)
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2406 05 มี.ค. - 07 มี.ค. 2552