ปตท. แย้มดึงเอกชนจีนลงทุนสถานีบริการเอ็นจีวี เตรียมขยับมาร์จิ้นเพิ่มเป็น 2.50 บาทต่อกิโลกรัม จากปัจจุบัน 2 บาทต่อกิโลกรัม แต่ต้องลุ้นกระทรวงพลังงานขยับตามต้นทุนจริงก่อน "ณัฐชาติ"ย้ำเป้ารวมเป็น 400 แห่งทั่วไทย นายณัฐชาติ จารุจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยกับ "ข่าวหุ้นธุรกิจ" ว่า ขณะนี้มีเอกชนอย่างน้อย 3 ราย สนใจลงทุนสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ(เอ็นจีวี) ไม่เพียงแต่บริษัท สยามราชธานี จำกัด เท่านั้น ยังมีเอกชนไทยอีก 1 ราย และเอกชนจีนอีก 1 รายเข้ามาติดต่อเพื่อลงทุนสถานีเอ็นจีวีในไทย
ทั้งนี้ ตนยังไม่สามารถระบุชื่อได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการหารือร่วมกัน ปัจจุบันมีสถานีบริการเอ็นจีวีอยู่ที่ 304 แห่ง แต่ ปตท.ตั้งเป้าไว้ที่ 400 แห่งภายในสิ้นปีนี้ โดยจะเป็นการลงทุนภาคเอกชนรายอื่นจำนวน 50 แห่ง ล่าสุดบริษัท สยามราชธานี จำกัด ได้ลงทุนไปแล้ว 1 แห่ง ขณะเดียวกันมีเอกชนที่ลงทุนสถานีเอ็นจีไปแล้วกว่า 20 แห่ง แต่ส่วนใหญ่จะก่อสร้างเพื่อใช้งานในบริษัท
"ที่ผ่านมามีเอกชนลงทุนสถานีเอ็นจีวีแล้วกว่า 20 แห่ง แต่จะใช้ในบริษัทมากกว่า ส่วนเอกชนที่ต้องการจำหน่ายด้วยนั้นก็ทยอยเข้ามาติดต่อกับ ปตท. โดยเราจะเข้าไปดูมาตรฐาน ตรวจสอบคุณภาพก่อนส่งก๊าซให้" นายรัฐชาติ กล่าว
อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน ปตท.ดึงดูดเอกชนเพื่อลงทุนสถานีบริการเอ็นจีวี โดยให้มาร์จิ้นที่ 2 บาทต่อกิโลกรัม แม้ว่าระดับมาร์จิ้นดังกล่าวยังไม่มากนัก แต่ ปตท.ก็พยายามเพิ่มมาร์จิ้นเพื่อจูงใจเอกชน โดยมีเอกชนชนบางรายต้องการมาร์จิ้นในระดับ 2.50 บาทต่อกิโลกรัม แต่ปัจจุบัน ปตท.ก็ต้องขายขาดทุนเช่นกัน
นอกจากนี้ ปตท.ต้องขายเอ็นจีวีดังกล่าวต่ำกว่าราคาขายปลีกถึง 2 บาทต่อลิตร ดังนั้นจึงยังไม่พิจารณาปรับขึ้นมาร์จิ้นให้กับผู้ค้าในช่วงนี้ โดยต้องรอให้กระทรวงพลังงานปรับขึ้นราคาเอ็นจีวีให้สอดคล้องกับต้นทุนจริง ก่อน หลังจากนั้นจะพิจารณาเพิ่มมาร์จิ้นทันที
"มาร์จิ้น 2 บาทต่อกิโลกรัมนั้น แม้ว่าการลงทุนในกรุงเทพฯจะดูตรึงตัว แต่ก็มีวอลุ่มเป็นตัวชดเชย ส่วนในพื้นที่ต่างจังหวัดนั้น การลงทุนต่ำกว่า โดยมาร์จิ้นระดับนี้ถือว่าพอสมควรแล้ว แต่ยอดขายน้อยกว่าในเขตกรุงเทพฯ หากในอนาคตมีการปรับขึ้นราคาเอ็นจีวี ปตท.ก็พร้อมจะเพิ่มมาร์จิ้น เพื่อจูงใจเอกชนรายอื่นลงทุนสถานีบริการเอ็นจีวี อย่างไรก็ตามต้องดูเป็นกรณีๆ ด้วย" นายณัฐชาติ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ปตท.เตรียมเงินลงทุนสำหรับธุรกิจเอ็นจีวีไว้ที่ 7,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันแผนการลงทุนท่อเอ็นจีวี 3 เส้น ได้แก่ ภาคเหนือ เส้นอยุธยา-นครสวรรค์ ระยะทาง 172 กิโลเมตร, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สระบุรี-นครราชสีมา ระยะทาง 152 กิโลเมตร และภาคใต้ ราชบุรี-ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 373 กิโลเมตร คงต้องชะลอออกไปก่อน เนื่องจากต้องการดูความต้องการใช้ก๊าซด้วย
นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่าปริมาณความต้องการใช้ก๊าซในช่วงนี้ปรับลดลงมาก ประกอบกับตัวเลขพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าก็ระบุว่าในปีนี้จะไม่เติบโตมาก นัก ดังนั้นจึงตอบไม่ได้ว่า ปตท. จะลงทุนท่อก๊าซได้เมื่อไร อย่างไรก็ตามหากจะมีการลงทุนก็คงพิจารณาในส่วนของท่อเส้นภาคเหนือและภาค อีสานก่อน
สำหรับกรณีที่มีการนำเข้าถังเอ็นจีวีที่ไม่ได้มาตรฐานจนส่งให้มีการระเบิด เกิดขึ้น บ่อยครั้ง โดย ปตท.ได้ร่วมกับกรมธุรกิจพลังงาน(ธ.พ.) เพื่อใช้อุปกรณ์ตรวจสอบถังที่นำเข้ามา เบื้องต้นกรณีนำเข้า 200 ใบ จะสุ่มตรวจสอบอย่างน้อย 1 ใบ และในอนาคตหากมีอุปกรณ์ที่สามารถตรวจสอบได้ทั้งหมดก็จะลดความเสี่ยงถังที่ ไม่ได้คุณภาพลงได้ นอกจากนี้กระทรวงฯก็มีมาตรการสำหรับผู้ที่นำเข้าถังผิดกฎหมายด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) หรือ PTT ได้จัดเวทีสาธารณะชี้แจงและรับฟังความคิดเห็นโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติเส้น ที่ 4 (ระยอง-แก่งคอย)ครั้งที่ 2 โดยมีหน่วยราชการ องค์กรเอกชน นักวิชาการ ประชาชน สื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟัง ทั้งนี้ การก่อสร้างโครงการเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พ.ค.2548 เป็นการส่งเสริมก๊าซธรรมชาติเหลว(แอลเอ็นจี) นำไปใช้ภาคการผลิตไฟฟ้า อุตสาหกรรม คมนาคม ขนส่ง
โดยพาดผ่านพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี นครนายก และสระบุรี รวมระยะทาง 300 กิโลเมตรผ่าน 20 อำเภอ 6 เทศบาล 56 ตำบล 190 หมู่บ้าน การรับฟังความคิดเห็นเป็นการดำเนินการ ขั้นตอนของการจัดทำแผนศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรืออีไอเอ โดยปตท.สำรวจความคิดเห็นชาวบ้านพื้นที่ใกล้เคียงพบว่าส่วนใหญ่ประมาณ 80% เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว
นายจิตรพงษ์ กว้างสุขสถิตย์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้น บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน)หรือ PTT กล่าวว่า เดิมโครงการนี้จะเริ่มก่อสร้างภายในต้นปี2552 ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 20 เดือน ภายใต้งบประมาณดำเนินการ 39,000 ล้านบาท แต่จากภาวะเศรษฐกิจ ที่ชะลอตัวอย่างรวดเร็ว การใช้ไฟฟ้าได้เริ่มลดลงโดยเฉพาะเดือนม.ค.ที่ผ่านมา การใช้ก๊าซธรรมชาติและไฟฟ้าลดลง 11-12% ขณะที่โรงงานต่างๆ ลดกำลังการผลิตตามภาวะเศรษฐกิจโลก
จึงทำให้ปตท.ได้ทบทวนโครงการลงทุนและเลื่อนการก่อสร้างท่อก๊าซเส้นที่ 4 เป็นเวลาประมาณ 1 ปีจากเดิมคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จปี 2554 โดยการชะลอโครงการดังกล่าวยังเป็นการดำเนินการตามแผนการปรับปรุงแผนพัฒนา กำลังผลิตไฟฟ้าหรือพีดีพีฉบับใหม่อีกด้วย
![](http://img88.imageshack.us/img88/1441/1111255111571nh8.jpg)