กองทุนน้ำมันฯ พร้อมขยายเวลารับภาระราคาน้ำมันนานกว่า 1 เดือน กรุงเทพฯ 22 พ.ค.52 - นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงานพร้อมขยายระยะเวลาการใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปรับภาระแทนประชาชนในเรื่องการขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมัน 2 บาทต่อลิตร จากเป้าหมายเดิมที่คาดว่าจะรับภาระเพียง 1 เดือนเท่านั้น
ส่วนวงเงินการรับภาระราคาน้ำมันแทนประชาชนจะมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับสถานการณ์ราคาน้ำมัน หากราคาน้ำมันยังอยู่ในช่วงขาขึ้น
กองทุนน้ำมันฯ ก็สามารถรับภาระไปได้นาน 4 เดือน แต่หากราคาน้ำมันลดลงช่วงใดกองทุนน้ำมันฯ จะเก็บเงินเพิ่ม ซึ่งปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ เข้าไปรับภาระราคาประมาณ 4,400 ล้านบาทต่อเดือน ขณะที่มีวงเงินหลังจากหักหนี้ต่าง ๆ แล้วเหลือประมาณ 15,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาน้ำมันคงจะไม่อยู่ในช่วงขาขึ้นตลอด แม้ราคาน้ำมันดิบในปัจจุบันจะอยู่ที่ประมาณ 60-62 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลก็ตาม
“กระทรวงฯ พร้อมใช้กองทุนน้ำมันฯ เข้าไปดูแลความเดือดร้อนของประชาชน และพร้อมขยายเวลาการลดเงินกองทุนน้ำมันฯ ตามสถานการณ์ราคาน้ำมัน โดยการดูแลราคาน้ำมันจะอิงกลไกตลาดเป็นหลัก ถ้าหากเข้าไปควบคุมจะเกิดปัญหาทั้งเรื่องต้นทุนไม่สะท้อนข้อเท็จจริงและเป็นภาระต่อประเทศ” นพ.วรรณรัตน์ กล่าว
ส่วนกรณีผู้ค้าน้ำมันที่ระบุว่าไม่สามารถซื้อเอทานอลตามสูตรราคาประกาศแนะนำใหม่ของกระทรวงพลังงานนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดูแลว่าจะปรับสูตรอย่างไรให้เหมาะสม โดยดูจากต้นทุนที่ผลิตจากมันสำปะหลังและกากน้ำตาล (โมลาส) ขณะเดียวกันได้เร่งรัดโรงงานที่ผลิตจากมันสำปะหลังเริ่มดำเนินการโดยเร็ว เพื่อป้องกันปัญหาข้อกังวลของผู้ค้าน้ำมันว่าเอทานอลอาจขาดแคลน เพราะขณะนี้ผู้ผลิตโมลาสได้มีการส่งออกในปริมาณสูง เนื่องจากราคาตลาดโลกอยู่ในช่วงขาขึ้น
ทั้งนี้ราคาเอทานอลแนะนำของกระทรวงพลังงานอยู่ที่ 18.59 บาทต่อลิตร ขณะที่ราคาซื้อขายจริงอยู่ที่ 22-23 บาทต่อลิตร และราคาไตรมาส 3 จะพุ่งไปถึงกว่า 24 บาทต่อลิตร โดยสูตรของกระทรวงพลังงานปัจจุบันได้คำนวณจากราคาโมลาสส่งออกย้อนหลัง 3 เดือน ขณะที่ผู้ผลิตเอทานอลระบุว่าเป็นราคาที่ขาดทุน ไม่สามารถขายได้ตามสูตรของกระทรวง
นายณัฐชาติ จารุจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ก๊าซธรรมธรรมชาติสำหรับยานยนต์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทาง ปตท.ปรับแผนรองรับนโยบายที่กระทรวงพลังงานอาจจะไม่ให้ปรับขึ้นราคาเอ็นจีวีปีนี้ จากราคาปัจจุบัน 8.50 บาทต่อกิโลกรัม อย่างไรก็ตาม ยังคาดว่าในปีต่อไปราคาเอ็นจีวีจะได้รับอนุมัติขยับขึ้น เพราะราคาขายในปัจจุบันเป็นราคาที่ขาดทุนส่งผลให้ช่วงไตรมาส 1 ปีนี้ ปตท.ขาดทุนเอ็นจีวีประมาณ 2,000 ล้านบาท และคาดว่าทั้งปีจะขาดทุนประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาท โดยที่ผ่านมา ปตท.ขาดทุนสะสมกรณีลงทุนเอ็นจีวีไปแล้ว 11,000 ล้านบาท และจากแนวโน้มราคาน้ำมันขาขึ้นได้ส่งผลทำให้มีสัญญาณการใช้เอ็นจีวีเริ่มเพิ่มขึ้นบ้างแล้ว โดยจะเห็นได้ชัดว่ายอดติดตั้งในเดือนพฤษภาคมนี้เริ่มขยับเป็น 60 คัน จากเดือนเมษายนลดเหลือประมาณ 30 คัน ขณะที่ยอดติดตั้งปีที่แล้วซึ่งเป็นช่วงราคาน้ำมันขยับขึ้นสูงสุดประมาณ 400-500 คันต่อเดือน
ทั้งนี้ การปรับแผนของ ปตท.ได้เน้นเรื่องการลดต้นทุนขนส่ง จากเดิมขนส่งด้วยรถยนต์มาดูเรื่องการขนส่งตามแนวท่อมากขึ้น และยังจูงใจให้ภาคเอกชนเข้ามาตั้งสถานีบริการเอ็นจีวีเพิ่มขึ้น เพื่อลดภาระการลงทุน โดยปัจจุบันสถานีบริการเอ็นจีวีเอกชนจะได้มาร์จิ้นประมาณ 2 บาทต่อกิโลกรัม แต่ในเขตกรุงเทพฯ คาดว่ากำลังจะปรับมาร์จิ้นให้สูงขึ้น แม้ ปตท.จะขาดทุนจากการจำหน่ายเอ็นจีวีก็ตาม โดยปัจจุบันยอดใช้เอ็นจีวีมีประมาณ 3,400-3,600 ตันต่อวัน มีรถยนต์ติดตั้งประมาณ 14,000 คัน ในส่วนปริมาณรถยนต์พบว่าเป็นรถยนต์บ้านมากที่สุด รองลงมาแท็กซี่ และรถขนาดใหญ่ ได้แก่ รถโดยสาร รถเมล์ และรถบรรทุก สัดส่วนร้อยละ 53 ร้อยละ 32 และร้อยละ 15 ตามลำดับ ขณะที่ปริมาณการใช้มีในสัดส่วนร้อยละ 9 ร้อยละ 33 และร้อยละ 58 ตามลำดับ. - สำนักข่าวไทย