วันที่ 16 มกราคม 2552 เวลา 18.00 น. รัฐบาล ชะลอขึ้นราคาแก๊ซ LPG-NGV โดยไม่มีกำหนดเอาใจประชาชน เหตุเศรษฐกิจชะลอ หวั่นประชาชนรับภาระ พร้อมดึงเงินกองทุนน้ำมันกว่า 3 พันล้านชดเชยปรับขึ้นภาษีสรรพามิตรน้ำมันเชื่อเพลิงดีเดย์ 1 ก.พ.นี้
เมื่อ เวลา 14.00 น.มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติมี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม โดยใช้เวลาในการประชุมนานร่วม 2 ชั่วโมงภายหลังการประชุม นพ.วรรณรัตน์ชาญนุกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวง พลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติชะลอการรับขึ้นราคาแก๊ซ LPG และก๊าซ NGV ออกไปโดยไม่มีกำหนดเนื่องจากเห็นว่าขณะนี้เศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจชะลอตัว ที่อาจจะส่งผลกระทบต่ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศ และเป็น การลดภาระของประชาชนในประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของ ประเทศ ที่สำคัญไทยสามารถผลิต LPG เพื่อใช้ได้อย่างเพียงพอในประเทศกว่า 3.35 แสนตันดังนั้นจึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับขึ้นราคาในช่วงนี้ แต่ให้ มีการติดตามสถานการณ์ด้านพลังงานเป็นระยะ
นพ.วรรณรัตน์กล่าวว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบลดผลกระทบต่อประชาชนจาก การปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต หลังสิ้นสุดนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือนฝ่าวิกฤติ เพื่อคนไทยทุกคน โดยเห็นชอบในหลักการให้ใช้กองทุนน้ำมัน เพื่อบรรเทาผลกระทบ จากราคาน้ำมันที่จะสูงขึ้นจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตในวันที่ 1 ก.พ.นี้ โดยการปรับลดอัตราเงินเข้ากองทุนน้ำ เพื่อให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้นประมาณ 1 บาทต่อลิตรหลังจากนั้นจะทยอยปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 1 บาทต่อลิตรซึ่งจะทำให้ ราคาขายปลีกปรับสูงขึ้นประมาณ 1 บาทต่อลิตรโดยคาดว่าจะมีการปรับประมาณ 3-4 ครั้งในช่วงเวลา 2 เดือนและมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ดำเนิน การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน โดยพิจารณาจากช่วงเวลาที่เหมะสมเพื่อ ให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันน้อยที่สุด ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณเพื่อชดเชยการ ปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตร กว่า 3,000 ล้านบาทซึ่งขณะนี้กองทุนน้ำมันมีเงิน เหลือกว่า 1 หมื่นล้านบาท
รมว.พลังงานกล่าวว่านอกจากนี้ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบแผนพัฒนา กำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ พ.ศ. 2551-2564 ฉบับปรังปรุงครั้งที่2 โดยมีการ ปรับปรุงค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าลดลงตามสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศตาม การประมาณการณ์ค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศปี2552 ของสภาพัฒน์จากเดิม4.5 % เป็น2 % โดยรักษากำลังการผลิตสำรองในระดับ15-20 % เพื่อให้มีการจัดทำแผน กำลังการผลิตไฟฟ้าให้สอดคล้องกับประมาณการณ์ที่เปลี่ยนไปจึงมีการปรับเลื่อน โครงการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และของเอกชน ออกไปในขณะที่เร่งรัด การลงทุนตามโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตขนาดเล็ก ให้เร็วขึ้นและเพิ่มมาก ขึ้น เม็ดเงินลงทุนกว่า 104,000 ล้านบาทในช่วงปี 2552-2556 เพื่อกระตุ้น เศรษฐกิจและลดหนี้สาธารณะจากการลงทุนของกฟผ.และให้มีการทบทวนการรับซื้อไฟ ฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่งคงของระบบการผลิต ไฟฟ้าของประเทศ
นพ.วรรณรัตน์กล่าวว่า ในช่วงปี 2552-2564 จะมีโครงการด้านการผลิต ไฟฟ้าที่กฟผ.ได้ดำเนินการเองจำนวน15,768 เมกะวัตต์การซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟ ฟ้าเอกชนรายใหญ่จำนวน 7,600 เมกะวัตต์การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน รายเล็กจำนวน 1,985 เมกะวัตต์และรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านจำนวน 5,036 เมกะวัตต์รวมเงินลงทุนโครงการผลิตไฟฟ้าและระบบส่งไฟฟ้าของประเทศเป็น เงินทั้งสิ้น 1,647,984 ล้านบาทหรือลดจากแผนเดิม 459,550 ล้านบาท
รมว.พลังงานกล่าวว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้พิจารณาเงินชดเชยให้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ปี 2552 โดยให้การไฟฟ้านครหลวงโอนเงินกว่า 1.2 หมื่นล้านบาทให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเนื่องจากทั้งสองหน่วยงานเป็นผู้ จำหน่ายไฟฟ้าในราคาที่เท่ากันทั่วประเทศ แต่การไฟฟ้าส่วนภูมิมีการลงทุนสูง ในเรื่องของสายส่งและกำลังส่ง ดังนั้นจึงต้องจ่ายเงินชดเชยให้
"อภิสิทธิ์"แจงไม่อยากให้กระทบค่าครองชีพปชช.
เมื่อเวลา 17.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการ ประชุมนโยบายพลังงานแห่งชาติ ว่า การที่รัฐบาลยังคงตรึงราคาก๊าซแอลพีจีและ เอ็นจีวีไว้นั้น ไม่ใช่เป็นเพราะว่ารัฐบาลกลัวจะถูกแรงต่อต้านจากประชาชน ใน ส่วนของก๊าซแอลพีจี
หลักสำคัญคือปัญหาในช่วงที่ผ่านมาเป็นการนำเข้า จึงเกิดปัญหาต้องมี การชดเชย ซึ่งสถานการณ์การนำเข้าในขณะนั้นมันเป็นเหตุมาจากราคาน้ำมันที่ พุ่งขึ้นสูงมาก ทำให้เกิดปัญหาคนหันมาใช้ก๊าซแอลพีจีในภาคการขนส่งมากขึ้น ทำให้ช่องว่างระหว่างราคาถ่างออก ปีนี้ตามแผนเดิมได้ตั้งสมมติฐานไว้ว่าราคา ของแอลพีจีจะอยู่ที่ 511 เหรียญสหรัญฯแต่ข้อเท็จจริงราคาขณะนี้อยู่ที่ 340 เหรียญฯเท่านั้น
อีกทั้งสภาพการเติบโต หรือการใช้ในภาคขนส่งลดลงมากเนื่องจากราคา น้ำมันลดลง ขณะเดียวกันการขยายการผลิตในประเทศ คือ โรงแยกก๊าซโรงที่ 6 ก็จะ สามรถดำเนินการได้ในปลายปีนี้ทำให้การขาดแคลนลดลงและในภาวะเศรษฐกิจขาลงถ้า ไปขยับขึ้นราคาทั้งๆที่ความจำเป็นเปลี่ยนแปลงไป ก็จะทำให้กระทบต่อค่าครอง ชีพของประชาชน ซึ่งจะกลายเป็นการสวนทางกับมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาล จึงได้ตัดสินใจให้มีการชะลอออกไป
แต่ถ้าวันข้างหน้าราคาน้ำมันในตลาดโลกมีการเปลี่ยนแปลงก็สามารถ พิจารณาใหม่ได้ ซึ่งอยู่ที่พฤติกรรมของผู้บริโภคว่ามีการเปลี่ยนมาใช้ก๊าซ แอลพีจีในภาคขนส่ง หรือภาคอุตสาหกรรมจนต้องมีการนำเข้าจำนวนมาก เรื่องเหล่า นี้ไม่น่ามีปัญหาเพราะสามารถประเมิน และติดตามสถานการณ์ความเป็นจริงได้ อีก ทั้งคณะกรรมการพลังงานก็มีการประชุมทุกเดือน นายอภิสิทธิ์กล่าว