กทม.เก็บภาษีน้ำมันคนกรุง > ปลายปีประเดิมลิตรละ5สตางค์/บุหรี่-โรงแรมรายต่อไป![](http://www.thaimazda3.com/forum/uploads/post-7996-1224130725.jpg)
กทม .ขย่มซ้ำเศรษฐกิจคนกรุง เล็งรีดภาษีน้ำมันหมื่นล้านลิตร -บุหรี่100 ล้านมวน -โรงแรม 58,358 ห้อง โกยรายได้เพิ่มกว่าปีละ 1,000 ล้านบาท ปลายปีนี้ประเดิมภาษีน้ำมันก่อนลิตรละ 5 สตางค์ ก่อนปรับเพดานเพิ่มเป็น 10 สตางค์ในอนาคต ส่วน บุหรี่ -โรงแรม รอแก้ไขก.ม. ก่อนรีดภาษีเป็นรายต่อไป ปตท.-บางจากบอกเก็บเมื่อไรผลักภาระให้ผู้บริโภคทันที
จากกรณีที่กรุงเทพมหานคร(กทม.)ในฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้พยายามผลักดันใช้กฎหมายเพื่อให้มีการจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ 3 รายการ ได้แก่ ภาษีน้ำมัน ภาษีโรงแรม และภาษีบุหรี่ เพื่อหารายได้เข้ากทม.เช่นเดียวกับหน่วยงานท้องถิ่นอื่นๆ ทั่วประเทศ มานานกว่า 5 ปี แต่ผู้บริหารกทม.ที่ผ่านมา เกรงว่า การจัดเก็บภาษีดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อคะแนนเสียงคนกรุง จึงต้องชะลอการจัดเก็บเรื่อยมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษีน้ำมัน ที่ พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานครปี 2528 ให้อำนาจไว้โดยกำหนดเพดานไม่เกิน 5 สตางค์ต่อลิตร และให้แก้ไขข้อกฎหมายเพิ่มเพดานจัดเก็บได้ถึง 10 สตางค์ต่อลิตร นั้น ล่าสุดม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม. คนปัจจุบัน ได้มีนโยบายเร่งรัดให้จัดเก็บภาษี จากธุรกิจทั้ง 3 ประเภทดังกล่าว เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำและเพื่อเป็นช่องทางเพิ่มรายได้ นำมาบริหารกทม. เช่น ภาษีน้ำมัน ซึ่งจะอยู่ในแผนจัดเก็บได้ก่อน
![](http://www.thannews.th.com/images/2409/images/R3524091.jpg)
*** รายได้เพิ่ม 1,000 ล้านบาท/ปี ***
ดร.ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าฯกทม. เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า กทม. มีนโยบายจัดเก็บภาษี จากธุรกิจ 3 ประเภท เพิ่มเติม ได้แก่ ภาษี น้ำมัน ภาษีโรงแรม และภาษีบุหรี่ ซึ่งประเมินว่าจะมีรายได้เข้าท้องถิ่น เพิ่มขึ้นปีละกว่า 1,000 ล้านบาท เพราะที่ผ่านมา กทม. ยังไม่เคยเรียกเก็บภาษีจากธุรกิจ 3 ประเภทนี้เลยและเพื่อให้เกิดความทัดเทียมกับหน่วยงานท้องถิ่นอื่นๆในต่าง จังหวัดทั่วประเทศ ที่ได้จัดเก็บภาษีทั้ง 3 ประเภทแล้ว เมื่อ 4-5 ปีก่อน
ทั้งนี้ โดยอาศัยพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ขั้นตอนการกระจายอำนาจหน่วยงานท้องถิ่น ที่กำหนดให้หน่วยงานท้องถิ่น ประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) เทศบาล เมืองพัทยา สามารถเรียกเก็บภาษีดังกล่าวเข้าท้องถิ่นได้ แต่กทม. มีปัญหาว่า มีกฎหมายบริหารหน่วยงานท้องถิ่นของตนเอง ได้แก่ พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 ที่ให้อำนาจ กทม. จัดเก็บรายได้จากภาษีน้ำมัน ในอัตราเพดานสูงสุด 5 สตางค์ต่อลิตร เพียงประเภทเดียว
" แต่ที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีการจัดเก็บตามที่กฎหมายให้อำนาจ ส่วนภาษีโรงแรม และภาษีบุหรี่ กฎหมายบริหารราชการกทม. ไม่ได้ให้อำนาจจัดเก็บ ซึ่งต้องรอแก้ไขกฎหมายรองรับก่อนจึงจะเรียกเก็บภาษีจากโรงแรมและบุหรี่เพิ่ม ได้"
*** รีดน้ำมัน1.1หมื่นล้านลิตร ***
รองผู้ว่าฯกทม.กล่าวอีกว่า เมื่อ กทม. มีอำนาจเรียกเก็บภาษีธุรกิจน้ำมัน จากสถานีบริการน้ำมันต่างๆ กทม.ก็จะใช้โอกาสนี้ ดำเนินการทันทีเพื่อหารายได้เพิ่มเข้ากทม. โดยในเบื้องต้นจะเรียกเก็บตามเพดานที่กฎหมาย ระเบียบบริหารราชการกทม.พ.ศ. 2528 ให้ไว้ ในอัตรา 5 สตางค์ต่อลิตร
"ขณะนี้อยู่ระหว่างมอบให้สำนักการคลัง กทม. ยกร่าง ข้อบัญญัติกทม. เกี่ยวกับการจัดเก็บรายได้จากธุรกิจน้ำมัน พ.ศ....ออกมารองรับ และจะเสนอสภากทม. พิจารณาเห็นชอบ จากนั้นจะสามารถบังคับใช้ได้ และคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ได้ในปีงบประมาณ 2553 (ตุลาคม 2552 - กันยายน 2553 ) ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีน้ำมันเพิ่มกว่า 500 ล้านบาทต่อปี จากปริมาณการจำหน่ายน้ำมันทุกประเภทรวมกัน 11,000 ล้านลิตรต่อปี"
*** แก้ก.ม.เพิ่มเป็น10สตางค์ *** ขณะเดียวกันกทม.อยู่ระหว่างแก้ไขเพิ่มเติมเพดานการจัดเก็บภาษีน้ำมันเพิ่ม จาก 5 สตางค์ เป็น 10 สตางค์ เพื่อให้เท่ากับท้องถิ่นอื่น ตาม พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 ซึ่งขณะนี้ขั้นตอนการพิจารณาอยู่ที่กระทรวงมหาดไทย หากมีผลบังคับใช้จะสามารถเพิ่มรายได้อีกเท่าตัว และเชื่อว่าหากมีการจัดเก็บภาษีน้ำมันแล้ว ผู้ประกอบการจะผลักภาระให้กับผู้บริโภครับภาระนี้แทน
รองผู้ว่าฯกทม.กล่าวว่าที่ผ่านมาราคาขายน้ำมันในเขตกทม. จะถูกกว่าราคาขายตามต่างจังหวัด 5-10 สตางค์ โดยยังไม่รวมค่าขนส่ง ตามระยะทางซึ่งผู้ใช้รถใช้ถนนส่วนมากมักเข้ามาเติมน้ำมันในเขตกทม. ซึ่งมีราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี ฯลฯ
นอกจากนี้ กทม.ยังจะเพิ่มเติม การจัดเก็บภาษีโรงแรมในอัตรา 3 % จากราคาค่าเช่าห้องพักต่อคืน ซึ่งปัจจุบันห้องพักประเภทโรงแรม ในเขตกทม. มีจำนวน 291 แห่งรวม 58, 358 ห้อง คาดว่าจะสามารถจัดเก็บภาษีได้กว่า 500 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายจะจัดเก็บภาษีบุหรี่ มวนละ 10 สตางค์ ซึ่งจากการสำรวจพบว่ามีการส่งบุหรี่จำหน่ายในเขตกทม. จำนวนมากถึง 100 ล้านมวนต่อปี จึงคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มในส่วนนี้มากกว่า 100 ล้านบาทต่อปี
*** เล็งสรรพสามิตรีดภาษี ***
นายปรีชา สุขสนเทศ ผู้อำนวยการสำนักการคลัง กทม.กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า ที่ผ่านมากทม. ได้พยายามผลักดันการจัดเก็บภาษี ทั้ง 3 ประเภทมานานไม่ต่ำกว่า 4-5 ปี เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำกับหน่วยงานท้องถิ่นอื่นๆ ที่จัดเก็บแล้ว โดยเฉพาะภาษีน้ำมันที่จะสร้างรายได้ให้ กทม.เพิ่มขึ้นอีกปีละ 500 ล้านบาท หากจัดเก็บที่ลิตรละ 5 สตางค์ และหากอนาคตจะขยับเป็น 10 สตางค์ก็จะมีรายได้ถึงปีละ 1,000 ล้านบาท
ส่วนวิธีการจัดเก็บได้ศึกษาไว้ 2 วิธีคือ วิธีแรก มอบให้เจ้าพนักงานกทม. ทั้ง 50 เขตจัดเก็บภาษีจากบริเวณหน้าปั๊ม โดยหักภาษีทันที ลิตรละ 5 สตางค์ แต่วิธีนี้มองว่าอาจมีการรั่วไหลได้ วิธีที่สอง มอบให้กรมสรรพสามิตรับไปดำเนินการ โดยหักภาษีจากต้นทางที่ขายน้ำมันในเขตกทม. หากมีการหักขาดหรือเกินสามารถเรียกคืนได้ และนำรายได้จากการจัดเก็บส่งคืนกทม. ซึ่งวิธีที่สอง จะไม่มีปัญหาการรั่วไหล
สำหรับ สถิติการจัดเก็บรายได้ของกทม. ปีงบประมาณปี 2551(ตุลาคม 2550- กันยายน 2552) กทม. จัดเก็บรายได้เอง 11,000 ล้านบาท รัฐบาลจัดสรรให้ 33,000 ล้านบาท โดยในส่วนภาษีที่กทม. จัดเก็บได้หลักๆ แยกเป็นภาษีโรงเรือน 8,000 ล้านบาท ภาษีบำรุงท้องที่ 130 ล้านบาท ภาษีป้าย 600 ล้านบาท เป็นต้น
อนึ่ง เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2552 ที่ผ่านมา ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม.กล่าวระหว่างเป็นประธานเปิดประชุมวิชาการ เรื่อง"วิกฤติเศรษฐกิจโลก กับกรุงเทพมหานคร" ซึ่งจัดโดยกทม. ร่วมกับสถาบันพัฒนาสยามว่า รายได้ของกทม.เป็น 1ใน 4 ของรายได้ของระบบเศรษฐกิจไทย ซึ่งตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP) ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งคนว่างงานและรายได้จากการท่องเที่ยวที่มีปริมาณนักท่องเที่ยวลดลง 20% จาก ปี 2550 มีรายได้ 330,000 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้รายได้หายไป
"กทม.ต้องช่วยเหลือตนเอง โดยต้องนำเงินสะสมออกมาใช้จ่ายไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1,000 ล้านบาท ซึ่งจำเป็นต้องหาแหล่งรายได้เพิ่ม โดยพิจารณาจัดเก็บรายได้จากภาษีน้ำมันลิตรละ 5 สตางค์ดังกล่าว ขณะเดียวกันได้แต่งตั้ง นายจรัส สุวรรณมาลา คณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อยกร่างพ.ร.บ. ระเบียบบริหารกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 เพื่อให้มีการจัดเก็บภาษีน้ำมันเพิ่มขึ้น"
+++ ปตท.หวั่นปั๊มเบี้ยวภาษี +++
นายวิทยา หวังจิตรารักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่การตลาดขายปลีก บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)(บมจ.) เปิดเผยถึง
การจัดเก็บภาษีน้ำมันของกทม.ว่า หากกทม.มีการจัดเก็บภาษีในส่วนของน้ำมันเพิ่มขึ้น 5 สตางค์ต่อลิตร ทางผู้ค้าน้ำมันคงจะต้องผลักภาระให้ผู้บริโภครับแทน โดยการปรับราคาขายปลีกหน้าปั๊มขึ้น "ที่สำคัญการเก็บภาษีน้ำมันของกทม.นี้ จะสามารถใช้บังคับได้ทั่วถึงทุกสถานีบริการน้ำมันหรือไม่ เพราะจากประสบการณ์ที่เห็นจากจังหวัดต่างๆ บางสถานีบริการน้ำมันไม่จ่ายภาษีในส่วนนี้ให้อบจ.หรืออบต.เพราะระเบียบกำหนด ไว้ให้จ่ายตั้งแต่ 0-5 สตางค์ต่อลิตร หรือบางปั๊มจ่ายเพียง 2-3 สตางค์ต่อลิตรเท่านั้น และบางปั๊มดื้อแพ่งที่จะไม่จ่ายในส่วนนี้ หรือบางแห่งที่เป็นฐานเสียงของนักการเมืองก็ไม่สนใจที่จะเสียภาษีในส่วนนี้ เช่นกัน อำนาจรัฐก็ทำอะไรไม่ได้ ซึ่งเวลานี้ยังมีคดีฟ้องร้องเรียกเสียภาษีกันเป็นจำนวนมาก เป็นปัญหาเรื้อรังมาหลายปีแล้ว อย่างเช่น จังหวัดนนทบุรี ปั๊มน้ำมันก็มีการจ่ายบ้างไม่จ่ายบ้าง ในขณะที่ปทุมธานีไม่มีการจ่ายเลย เป็นต้น ซึ่งเท่ากับว่าคนดีที่จ่ายภาษีถูกต้องจะเป็นผู้เสียผลประโยชน์"
เมื่อเป็นเช่นนี้ จะทำให้ปั๊มที่จ่ายภาษีในส่วนนี้เสียโอกาสในการจำหน่ายน้ำมัน เพราะปั๊มใดไม่เสียภาษีก็ไม่ต้องไปปรับราคาขายปลีกหน้าปั๊ม ก็จะทำให้มีความแตกต่างด้านราคาขายปลีกน้ำมันเกิดขึ้น เพราะส่วนต่างของราคาเพียง 5 สตางค์ต่อลิตรก็มีผลจูงใจต่อผู้บริโภคแล้ว
นายวิทยา กล่าวอีกว่า สำหรับปริมาณการใช้น้ำมันในเขตกทม.นั้น น่าจะตกวันละ 40 % ของยอดการใช้ทั้งประเทศที่มีอยู่ประมาณ 70 ล้านลิตรต่อวัน ขณะที่บมจ.ปตท.มีปั๊มในเขตกทม.ประมาณ 149 แห่ง จากปั๊มทั้งหมดในเขตกทม.ที่มีอยู่ 892 แห่ง และตัวเลขของกรมธุรกิจพลังงาน ระบุว่าปั๊มน้ำมันรองจากของบมจ.ปตท.ได้แก่ เชลล์ จำนวน 129 แห่ง เอสโซ่ 120 แห่ง บางจาก 115 แห่ง เชฟรอน 98 แห่ง และปิโตรนาส 52 แห่ง ขณะที่ปั๊มอิสระมีจำนวน 10 แห่ง เท่านั้น
ดร.อนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน)(บมจ.) เปิดเผยว่า หากกทม.จัดเก็บภาษีน้ำมันเพิ่มอีก 5 สตางค์ต่อลิตร ภาระที่เกิดขึ้นนี้คงต้องผลักภาระให้ผู้บริโภครับแทน เพราะภาษีทุกตัวที่เก็บจากธุรกิจน้ำมันจะส่งผ่านไปยังผู้บริโภคอยู่แล้ว ดังนั้น คงไม่มีผลกระทบต่อภาระผู้ค้าน้ำมันแต่อย่างใด และคงจะไม่มีผลต่อยอดจำหน่ายหากราคาน้ำมันหน้าปั๊มปรับเพิ่มอีก 5 สตางค์ต่อลิตร แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นประชาชนคงจะต้องใช้นำมันแพงขึ้นอีก![](http://www.thannews.th.com/images/head/logothan.jpg)
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2416 09 เม.ย. - 11 เม.ย. 2552