นายยู เจียรยืนพงศ์ สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การที่ ปตท.ประกาศขึ้นราคาขายปลีกเอ็นจีวีหน้าปั๊มในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล จากราคา 8.50 บาท เป็น 11 บาท ต่อ กก. ในวันที่ 1 ม.ค.52 นั้น ทำให้ผู้ประกอบการด้านการขนส่งได้รับความเดือดร้อนมาก ทั้งในส่วนของผู้ประกอบการขนส่งสินค้า ผู้ประกอบการด้านการขนส่งมวลชน สหกรณ์แท็กซี่ รถยนต์โดยสารส่วนบุคคล เพราะที่ผ่านมา ปตท.เป็นผู้ที่ออกนโยบายการส่งเสริมให้ ผู้ประกอบการและผู้ใช้รถทั่วไปหันมาใช้พลังงานทดแทน
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาราคาน้ำมันดีเซลก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการต้องเร่งซื้อรถใหม่ เปลี่ยนเครื่องยนต์ เพื่อให้รองรับกับการใช้ก๊าซเอ็นจีวีที่มีราคาถูกกว่าเพื่อลดต้นทุนการเดินรถ และผู้ประกอบการก็ได้กู้เงินจาก ปตท.เพื่อนำมาดำเนินการรวมกันกว่า 2,000 ล้านบาท และบางส่วนก็กู้เงินนอกระบบมาใช้ดำเนินการ รวมถึงต้นทุนการบำรุงรักษารถที่ใช้เอ็นจีวีก็สูงกว่ารถที่ใช้ ดีเซล
“ปัจจุบันมีรถในระบบที่ใช้เอ็นจีวีรวม 120,000 คัน เป็นรถบรรทุกประมาณ 20,000 คัน รถบัสโดยสาร 4,000 คัน แท็กซี่ 20,000 คัน นอกนั้นเป็นรถบ้านและรถทั่วไป โดยเฉพาะในส่วนของรถบัสโดยสารที่เปลี่ยนมาใช้เอ็นจีวีกว่า 90% นั้นได้รับผลกระทบอย่างหนักหากมีการปรับขึ้นค่าเอ็นจีวี”
นายยูกล่าวอีกว่า ในวันที่ 20 ธ.ค.นี้ ทางสมาคมฯจะร่วมกับสมาคมการขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย สมาคมพัฒนารถร่วมเอกชน สมาคมกิจการรถโดยสารประจำทางไทย สหกรณ์รถแท็กซี่สยาม ชมรมรถ ร่วมองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ชมรมผู้ใช้รถก๊าซเอ็นจีวี หารือกันที่สมาคมขนส่งทางบกจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อกำหนดแนวทางในการดำเนินการให้ภาครัฐเข้ามาแก้ไขปัญหาให้กับให้กับภาคเอกชนอย่างเร่งด่วน เพราะการปรับขึ้นเอ็นจีวีทำให้ ต้นทุนเพิ่มขึ้น 5% และท้ายสุดผู้ที่แบกรับภาระค่า ครองชีพที่เพิ่มขึ้นก็คือประชาชนที่เป็นผู้บริโภค เพราะราคาสินค้าต่างๆก็จะเพิ่มขึ้นตามราคาค่าขนส่งที่ปรับขึ้นเพิ่ม.
http://www.thairath.co.th/news.php?section=economic&content=115755