ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (17 ธ.ค.) ว่า นายยรรยง พวง ราช อธิบดีกรมการค้าภายใน ได้เชิญสมาคมผู้ค้าก๊าซมาประชุมเพื่อทบทวนราคาค่าขนส่งก๊าซหุงต้ม ที่ส่งให้กับภาคครัวเรือนต่าง ๆ ซึ่งค่าขนส่งปัจจุบันอยู่ที่ 10-15 บาท แต่เมื่อราคาน้ำมันปรับลดลงจึงต้องการให้มีการทบทวนราคาเหลือ 5 บาท เพื่อลดภาระให้กับผู้บริโภค รวมถึงต้องการให้ผู้ประกอบการช่วยกันดูแลการลักลอบนำก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือน ไปขายให้ภาคอุตสาหกรรมและภาคขนส่ง หลังจากราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) กลุ่มดังกล่าวจะมีการปรับขึ้นกิโลกรัมละ 2 บาทเป็นเวลา 3 เดือน
นาง วัชรี วิมุกตายน รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวภายหลังประชุมหารือร่วมกับสมาคมผู้ขนส่งก๊าซหุงต้มว่า ทางสมาคมฯ ยินดี ที่จะปรับลดราคาค่าขนส่งก๊าซหุงต้มให้กับผู้บริโภค กรณีผู้บริโภคให้ส่งถังก๊าซตามบ้านเรือนต่าง ๆ หลัง จากราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง และเห็นว่าในช่วงก่อนหน้านี้ราคาน้ำมันที่มีราคาสูงทางร้านค้าก๊าซได้ขอ อนุญาตมาทางกรมการค้าภายในขอปรับราคาค่าขนส่งก๊าซครัวเรือนขนาด 15 กิโลกรัม ระยะทางไม่เกิน 5 กิโลเมตร เป็น 15 บาทต่อถัง จากราคาเดิมคิดอยู่ที่ 10 บาทต่อถัง แต่เมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลงมาเช่นนี้ก็น่าจะปรับลดค่าส่งก๊าซครัวเรือนดังกล่าวไม่เกิน 10 บาท ต่อถังลงมาได้ ซึ่งทางสมาคมฯ ยอมที่จะปรับลดค่าขนส่งลงมา แต่ขอเวลาคุยกับทางโรงบรรจุก๊าซก่อน โดยคาดว่าน่าจะเริ่มปรับลดค่าขนส่งได้ตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค.52 เป็นต้นไป
ด้าน นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า รัฐบาลใหม่ควรประกาศลอยตัวราคาก๊าซหุงต้ม และอย่าใช้นโยบายตรึงราคาพลังงาน เพราะจะเป็นภาระต่อประชาชนในภายหลัง และต้องประกาศส่งเสริมพลังงานทดแทน โดยประกาศต่ออายุส่วนเพิ่มทันที
นายปิยสวัสดิ์ กล่าวว่า หวังว่ารัฐบาลชุดใหม่ที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ จะไม่ทำนโยบายเหมือนกับช่วงหาเสียง ที่พยายามตรึงราคาพลังงาน ลดราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) เพราะการดำเนินการดังกล่าวจะสร้างภาระแก่ประชาชนในภายหลัง ซึ่งจะเห็นได้ทั้งจากการตรึงราคาน้ำมัน การตรึงค่าไฟฟ้า การตรึงราคาก๊าซหุงต้ม ดังนั้น ราคาพลังงานต้องสะท้อนต้นทุนที่จริง ประกอบกับในขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่ราคาน้ำมันและแอลพีจีตลาดโลกปรับลดลง มาก ราคาตะวันออกกลางอยู่ที่ 338 ดอลลาร์ต่อตัน ใกล้เคียงกับราคาในประเทศที่ 320 ดอลลาร์ต่อตัน ในส่วนของแอลพีจีจึงควรจะปล่อยลอยตัวทันที และในอนาคตก็ให้ราคาปรับขึ้น-ลง ตามตลาดโลก
“หากลอยตัวราคาแอลพีจีช่วงนี้ ราคาขายปลีกก็ไม่จำเป็นต้องแบ่งเป็น 2 ราคา ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่ให้ปรับขึ้นเฉพาะภาคขนส่ง/อุตสาหกรรม ในอัตรา 6 บาท /กก. ปัญหาเรื่องการลักลอบถ่ายเท การลักลอบส่งออกก็จะไม่เกิดขึ้น และไม่สร้างภาระต่อภาคอุตสาหกรรม และในส่วนของหนี้ ของ บมจ.ปตท.ที่รับภาระจากการนำเข้าประมาณ 8,000 ล้านบาท ทางภาครัฐก็สามารถจัดการได้ โดยนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาแก้ปัญหา เพราะในขณะนี้มีการจัดเก็บเงินกองทุนฯ ในอัตราสูงขึ้น และยังมีภาระเป็นบวก”นายปิยสวัสดิ์ กล่าว และว่า ภาครัฐควรประกาศยกเลิกการลดภาษีน้ำมันดีเซลและแก๊สโซฮอล์ ทันที ไม่ต้องรอให้ครบกำหนดเวลา 6 มาตรการลดค่าครองชีพ ในวันที่ 31 ม.ค. 2552 โดยการจัดเก็บภาษีในอัตราเดิม ซึ่งการที่ราคาน้ำมันตลาดโลกดิ่งลง นอกจากจะไม่มีผลทำให้ราคาน้ำมันในประเทศสูงขึ้นแล้ว แต่ยังเป็นการดึงให้ค่าการตลาดลดต่ำลง สร้างความเป็นธรรมต่อประชาชน เพราะในขณะนี้ค่าการตลาดอยู่ในระดับสูงมากมาเป็นเวลานานแล้ว และยังช่วยเรื่องการจัดเก็บภาษีของภาครัฐให้สูงขึ้น เพื่อนำเงินไปใช้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากขึ้น รวมทั้ง แก้ปัญหาไม่ให้เกิดการใช้น้ำมันฟุ่มเฟือย
http://www.thairath.co.th/online.php?section=newsthairathonline&content=115529