admin
|
|
« เมื่อ: พฤศจิกายน 13, 2008, 02:13:45 PM » |
|
ข่าวสดรายวัน วันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
กพช.เคาะขึ้นราคาแอลพีจีภาคขนส่ง-อุตสาหกรรมกิโลกรัมละ 6 บาท ทยอยปรับขึ้นเดือนละ 2 บาท 3 เดือน คาดมีผลสัปดาห์หน้า หวังลดการใช้-ใช้หนี้ปตท.ที่นำเข้ามาแล้ว 7,422 ล้านบาท คาดใช้หนี้หมดพ.ย.2553 ส่วนภาคครัวเรือนยังคงราคาไว้เหมือนเดิม จนกว่าจะหมดโครงการ 6 เดือน 6 มาตรการรัฐ 31 ม.ค.ปีหน้า พร้อมตั้งกรรมการ 5 คณะรับมือด้วย ด้านแท็กซี่ขู่ค้านให้ถึงที่สุด ชี้เอ็นจีวียังไม่พร้อมจึงไม่สมควรขึ้นแอลพีจี
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 13 พ.ย. ที่กระทรวงต่างประเทศ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.ต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เป็นประธานประชุมคณะกรรมการกพช. มีนายสุชาติ ธาราธำรงเวช รมว.คลัง นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.พาณิชย์ น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว. พลังงาน และข้าราชการที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม
น.พ.วรรณรัตน์กล่าวภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ในภาคขนส่ง (รถยนต์) และอุตสาหกรรมอีกกิโลกรัมละ 6 บาท โดยจะทยอยปรับขึ้น 3 เดือน เดือนละ 2 บาท หรือคิดเป็นลิตรละ 1 บาท สำหรับแอลพีจีที่ขายให้กับรถยนต์ แต่การปรับขึ้นจะยังไม่มีผลทันที เพราะต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายบริหารพลังงาน (กบง.) คาดว่าจะประชุมได้เร็วสุดสัปดาห์หน้า
น.พ.วรรณรัตน์กล่าวว่า ส่วนแอลพีจีที่ใช้ในภาคครัวเรือนจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงราคา จนกว่าจะหมดโครงการ 6 เดือน 6 มาตรการรัฐ ในวันที่ 31 ม.ค. 2552 เป็นไปตามครม.มีมติให้ตรึงราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนไว้ก่อน ซึ่งในเดือนก.พ.2552 คงจะมาพิจารณากันใหม่ว่าจะเอาอย่างไร ซึ่งการขึ้นแอลพีจีภาคขนส่งและอุตสาหกรรม เพื่อนำเงินมาใช้หนี้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่ขณะนี้นำเข้าแอลพีจีมาตั้งแต่เดือนเม.ย.-ต.ค.เป็นเงิน 7,422 ล้านบาท และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นอีก
และหวังว่าจะช่วยลดการใช้แอลพีจีในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม จนกระทั่งสามารถยุติการนำเข้าแอลพีจีจากต่างประเทศลงได้ คาดว่าจะใช้หนี้หมดในเดือนพ.ย.2553 เมื่อใช้หนี้หมดจะมาพิจารณากันใหม่ว่าจะให้ราคาแอลพีจีในภาคขนส่งและอุตสาหกรรมเป็นอย่างไร โดยการขึ้นราคากิโลกรัมละ 2 บาท จะได้เงินใช้หนี้เดือนละ 260 ล้านบาท และถ้าขึ้น 6 บาทจะได้เงินเดือนละ 780 บาท
น.พ.วรรณรัตน์กล่าวว่า ขณะนี้ราคาแอลพีจีกำหนดให้ขายกิโลกรัมละ 18.31 บาท ที่ต้องปรับขึ้นอีกกิโลกรัมละ 6 บาท มาจากการคิดต้นทุนการนำเข้าทั้งหมดในช่วงที่ผ่านมาเฉลี่ย ซึ่งต้นทุนการนำเข้าเพื่อขายให้กับรถยนต์และอุตสาหกรรมนั้น สูงกว่าต้นทุนของการผลิตในประเทศถึงลิตรละ 6 บาท และการนำเข้าที่สูงนั้น เกิดจากช่วงที่ผ่านมาที่ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น ยอดใช้แอลพีจีปรับเพิ่มขึ้น จนทำให้ยอดผลิตไม่เพียงพอกับการใช้ไทย ต้องนำเข้าแอลพีจีเป็นครั้งแรกในเดือนเม.ย. ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ทั้งนี้ไทยใช้แอลพีจีเฉลี่ยเดือนละ 3.79 แสนตัน แต่ผลิตได้เพียงเดือนละ 3.5 แสนตัน ยอดนำเข้าเคยสูงสุดที่ 1.1 แสนตันเมื่อเดือนต.ค. แต่ขณะนี้เริ่มปรับลดลงมาเหลือ 1 แสนตัน และคาดว่าเดือนต.ค.เหลือ 6.2 หมื่นตัน และเดือนม.ค.2552 จะอยู่ที่ 4.5 หมื่นตัน
น.พ.วรรณรัตน์กล่าวว่า นอกจากนี้คณะกรรมการกพช.แต่งตั้งคณะกรรมการอีก 5 คณะ เพื่อรับมือการขึ้นราคาแอลพีจีครั้งนี้ ประกอบด้วย 1.คณะกรรมการป้องกันและตรวจสอบการลักลอบจำหน่ายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน 2.คณะกรรมการกำกับดูแลและตรวจสอบการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวผิดประเภทและความปลอดภัย 3.คณะกรรมการติดตามตรวจสอบปริมาณก๊าซปิโตรเลียมเหลว ที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมัน 4.คณะกรรมการดำเนินการประชาสัมพันธ์การปรับเปลี่ยนโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว 5.คณะกรรมการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ของกลุ่มแท็กซี่จากการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวมาใช้เป็นก๊าซธรรมชาติในรถยนต์
น.พ.วรรณรัตน์กล่าวถึงการช่วยเหลือรถแท็กซี่ว่า คงจะไม่อุดหนุนราคาให้ แต่ภาครัฐจะเข้าไปช่วยเหลือด้วยการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์จากแอลพีจี เป็นก๊าซเอ็นจีวี 20,000 คันในช่วง 4 เดือน โดยรัฐจะออกเงินให้คันละ 40,000 บาท ส่วนแท็กซี่เก่าจะรับซื้อคืนชุดแอลพีจีคันละ 3,000 บาท
นายวิฑูรย์ แนวพานิช ประธานสหกรณ์ แท็กซี่สยาม จำกัด กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการขึ้นราคา แอลพีจี เพราะขณะนี้เอ็นจีวียังไม่มีความพร้อม แท็กซี่ต้องต่อคิวเติม 40-50 คัน หรือวันละไม่ต่ำกว่า 2-3 ชั่วโมงจึงจะได้เติมเอ็นจีวี ซึ่งการขึ้นราคากิโล กรัมละ 2 บาท ทำให้แท็กซี่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก 200 บาท จากที่เคยมีรายได้จากการปรับขึ้นมิเตอร์ต่อกะ 100-120 บาท ตรงนี้จะหายไป
นายวิฑูรย์กล่าวว่า จะขอติดตามการขึ้นแอลพีจีก่อนว่าจะปรับขึ้นเมื่อใด เพราะก่อนหน้านี้ในสมัยพล.ท.หญิงพูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ เคยมีประชุมร่วมกับกลุ่มแท็กซี่ และมีข้อยุติว่าหากจำเป็นต้องปรับขึ้นแอลพีจี ต้องชดเชยให้กับแท็กซี่ไม่ให้มีผลกระทบกับการขึ้นราคา จนกว่าจะมีความพร้อมในเรื่องเอ็นจีวี โดยขณะนี้แท็กซี่ 70,000 คัน ใช้เอ็นจีวีแค่ 15,000-16,000 คัน ที่เหลือกว่า 55,000 คันยังใช้แอลพีจีอยู่
"หากรัฐบาลยังยืนยันที่จะขึ้นแอลพีจีแต่เอ็นจีวีไม่มีความพร้อม กลุ่มแท็กซี่คงจะต้องรวมตัวคัดค้านให้ถึงที่สุด เมื่อวันที่ 24 ต.ค. ส่งหนังสือไปถึงรมว. พลังงาน เพื่อขอให้ช่วยเร่งรัดการเปลี่ยนระบบการใช้แอลพีจีเป็นเอ็นจีวีของแท็กซี่ และไม่เห็นด้วยที่จะขึ้นราคาแอลพีจีช่วงนี้" นายวิฑูรย์กล่าว
|