กระทรวงพลังงาน เผยยอดนำเข้าแอลพีจียังสูงต่อเนื่อง
มาตรการปรับราคาหน้าโรงกลั่นใกล้เคียงตลาดโลก ยังไม่จูงใจให้ผลิตแอลพีจีออกสู่ระบบ โรงกลั่นสตาร์ปิโตรเลียม กลับลำไปขายให้ภาคอุตฯปิโตรเคมีที่ได้ราคาดีกว่าแทน ขณะที่โรงแยกก๊าซ 6 พึ่งพาได้ต่ำแค่เดือนละ 30,000 ตัน พร้อมให้
จับตาแอลพีจีขาดแคลน หลังคลังเขาบ่อยาปิดซ่อมท่อรับก๊าซจากคลังลอยน้ำ
นายพีระพล สาคริทร์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน(กธ.) กระทรวงพลังงาน เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า จากที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ได้มีมติเพิ่มแรงจูงใจให้กับโรงกลั่นน้ำมันในการนำก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจีที่ ใช้เองออกสู่ระบบมากขึ้น โดยการปรับราคาก๊าซแอลพีจีหน้าโรงกลั่นน้ำมันขึ้นไปให้ใกล้เคียงกับราคาตลาด โลกราคาเดือนกุมภาพันธ์นี้อยู่ที่ 816 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน เพื่อลดปริมาณการนำเข้าแอลพีจี ที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะมีแอลพีจีออกสู่ระบบได้อีกประมาณ 53,000 ตันต่อเดือน จากเดิมที่นำออกสู่ระบบเพียง 34,000 ตันต่อเดือน ซึ่งมีผลเริ่มมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2554 เป็นต้นมานั้น
ทั้งนี้ จากการดำเนินงานดังกล่าว พบว่าในช่วงเดือน...ทางโรงกลั่นน้ำมันได้รายงานตัวเลขการนำแอลพีจีออกสู่ ระบบได้ 42,000 ตันเท่านั้น โดยมาจากโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ 14,000 ตันต่อเดือน โรงกลั่นเอสโซ่ 7,000 ตันต่อเดือน โรงกลั่น ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น 4,000 ตันต่อเดือน และโรงกลั่นสตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง 17,000 ตันต่อเดือน ในขณะที่โรงกลั่นไออาร์พีซี ไม่มีการนำแอลพีจีออกมาสู่ระบบแต่อย่างใด เนื่องจากจะนำแอลพีจีไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตปิโตรเคมี ส่วนโรงกลั่นบางจากเอง ต้องนำไปใช้ในกระบวนการผลิตของโรงกลั่นเช่นกัน ซึ่งไม่เพียงพอและต้องซื้อจากที่อื่นมาเสริมด้วย
ส่วนการผลิตแอลพีจีจากโรงกลั่นในเดือนมีนาคม 2554 นี้ ทางโรงกลั่นสตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง ได้แจ้งมายังกรมธุรกิจพลังงานแล้วว่า จะทำการลดปริมาณการผลิตแอลพีจีออกมาสู่ระบบลดลงเหลือเพียง 10,000 ตันต่อเดือนเท่านั้น เนื่องจากราคาแอลพีจีหน้าโรงกลั่นที่ภาครัฐปรับเพิ่มขึ้นมาให้นั้นยังไม่จูง ใจมากพอที่จะผลิตออกมาจำหน่ายให้กับประชาชนได้ โดยปริมาณที่ลดลงนี้จะนำกลับไปจำหน่ายให้กับภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ให้ ราคาดีกว่าแทน ซึ่งจะส่งผลให้ในช่วงเดือนมีนาคมมีแอลพีจีจากโรงกลั่นออกสู่ระบบเพียง 35,000 ตันต่อเดือนเท่านั้น
นายพีระพล กล่าวอีกว่า นอกจากนี้โรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่ 6 ของบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) มีแผนที่จะผลิตแอลพีจีออกมาสู่ระบบในเดือนมีนาคมนี้ประมาณ 56,000 ตันต่อเดือน แต่ตามความเป็นจริงคาดว่าน่าจะอยู่ระดับ 40,000 ตันต่อเดือน และตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2554 เป็นต้นไปจะลดลงเหลือเพียง 30,000 ตันต่อเดือน เนื่องจากต้องนำไปจัดส่งให้กับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีตามสัญญาที่ทำไว้
ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าวทางกระทรวงพลังงานจึงได้มีการประเมินการนำเข้าแอลพีจียัง อยู่ในระดับสูงต่อไปเฉลี่ยประมาณ 100,000 ตันต่อเดือน หรือประมาณ 1.2 ล้านตันต่อปี ซึ่งลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 2553 มียอดการนำเข้าอยู่ที่ 1.548 ล้านตัน โดยใช้เงินจากกองทุนน้ำมันในการชดเชยส่วนต่างการนำเข้า 21,390 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ ในช่วงเดือนกันยายน 2554 จะมีปริมาณการนำเข้าแอลพีจีสูงสุดอยู่ที่ 144,000 ตันต่อเดือน เนื่องจากโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 6 จะหยุดซ่อมประจำปี ทำให้ต้องนำแอลพีจีสูงกว่าทุกเดือนในรอบปีนี้
อย่างไรก็ตาม ในด้านการจัดการก๊าซแอลพีจีนั้น ทาง บมจ.ปตท.ได้มีหนังสือแจ้งมา เพื่อขอทำการหยุดซ่อมท่อส่งก๊าซแอลพีจีจากเรือขึ้นถังเก็บ ที่คลังเขาบ่อยา จังหวัดชลบุรี ระหว่างเดือนมกราคม-มิถุนายน 2554 ทำให้สามารถรับเรือหรือคลังแอลพีจีลอยน้ำได้เพียง 3 ลำ จึงจำเป็นต้องเพิ่มคลังลอยน้ำอีกจำนวน 2 ลำ ขนาดลำละ 20,000 ตัน อาจจะทำให้เกิดปัญหาการจัดหาเรือลอยน้ำไม่เพียงพอในการรองรับการขนถ่ายแอลพี จีได้ ซึ่งระหว่างนี้ต้องติดตามสถานการณ์นำเข้าเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้มีปัญหาการขาด แคลนแอลพีจี ซึ่งอาจทำให้มีค่าใช้จ่ายในการใช้เรือเป็นคลังลอยน้ำลำละ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อวัน หรือประมาณ 52 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯต้องแบกรับภาระการชดเชยในส่วนนี้เพิ่มขึ้นอีก โดยในเดือนมกราคมที่ผ่านมามียอดการนำเข้า 114,000 ตันต่อเดือน ใช้เงินชดเชย 3,300 ล้านบาท
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,613
27 กุมภาพันธ์ - 2 มีนาคม พ.ศ. 2554