ปีที่ 60 ฉบับที่ 18710 วันจันทร์ ที่ 13 เมษายน 2552
ปตท.ขออีกขึ้นแอลพีจี-เอ็นจีวี [13 เม.ย. 52 - 05:30]นาย ปุณณชัย ฟูตระกุล ผู้จัดการฝ่ายตลาดก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติ (เอ็นจีวี) และก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ในเดือน ม.ค.-ก.พ. ปรับลดลงประมาณ 1-2% เนื่องจากราคาขายปลีกน้ำมันได้ลดลง ทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งหันมาใช้น้ำมันตามปกติ รวมทั้งเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้หลายๆ คนหันไปใช้บริการขนส่งสาธารณะแทนการใช้รถส่วนตัว แม้ว่าราคาน้ำมันจะลดลงแล้วก็ตาม
นายปุณณชัยกล่าวต่อว่า ปัจจุบันปริมาณการใช้เอ็นจีวี ของประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 3,500 ตันต่อวัน เพิ่มขึ้นจากเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมาที่มีความต้องการใช้ 2,900 ตันต่อวัน โดยขณะนี้ ปตท.มีขีดความสามารถในการป้อนเอ็นจีวีให้กับประชาชนได้เต็มที่วันละ 4,600 ตัน
สำหรับยอดการติดตั้งรถยนต์ที่ต้องการใช้เครื่องยนต์เอ็นจีวีล่าสุด มีปริมาณรถที่ติดตั้งแล้วเสร็จ 140,000 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา ที่อยู่ที่ระดับ 120,000 คัน นอกจากนี้อัตราการขอรับการติดตั้งเครื่องยนต์เอ็นจีวีในปัจจุบัน มีอัตราเพียง 60 คันต่อวัน เทียบกับช่วงกลางปี 2551 ที่ราคาน้ำมันตลาดโลกอยู่ที่ 140 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวมีความต้องการติดตั้งเอ็นจีวีสูงถึงวันละ 500 คัน โดยขณะนี้รถยนต์ที่ต้องการติดตั้งเอ็นจีวีส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มรถบรรทุก รถเมล์ รถโดยสาร บขส. รถตู้ ส่วนรถยนต์บ้านเกือบไม่มีการมาขอติดตั้งแล้ว
นาย ปุณณชัยกล่าวอีกว่า สำหรับในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ปริมาณการใช้ก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจีของประเทศไทย ล่าสุด ณ ขณะนี้ มีความต้องการใช้แอลพีจีเดือนละ 56,000 ตัน ขณะที่เมื่อเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมามีความต้องการเฉลี่ยเดือนละ 60,000 ตัน และมีรถแท็กซี่ที่เปลี่ยนจากการติดตั้งเครื่องยนต์แอลพีจีมาติดตั้งเป็นเอ็นจีวีรวมทั้งสิ้น 40,000 คัน จากจำนวนแท็กซี่ 70,000 คัน ทำให้ในปีนี้ ปตท.คาดว่าจะมีจำนวนรถยนต์ที่หันมาใช้เอ็นจีวีแทนแอลพีจีรวมทั้งสิ้น 160,000 คัน
“ปตท .ต้องการให้รัฐบาลอนุมัติให้ ปตท.ปรับขึ้นราคาขายปลีกแอลพีจีและเอ็นจีวี เพื่อลดภาระการแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ขณะนี้ราคาน้ำมันตลาดโลกก็ปรับลดลงใกล้เคียงกับราคาเอ็นจีวีและแอลพีจี ปตท.ก็ควรได้รับการอนุมัติให้ปรับขึ้นราคาได้ เพราะหากไม่ได้รับการอนุมัติให้ปรับขึ้นราคา คาดว่าในปีนี้ ปตท.จะต้องแบกรับภาระการขาดทุนจากการชดเชยราคาพลังงานทั้ง 2 ชนิดประมาณ 6,000 ล้านบาทจากที่ปีที่ผ่านมาแบกรับไปแล้ว 8,900 ล้านบาท