กรุงเทพฯ 28 พ.ค. - ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานแนะในช่วงราคาน้ำมันขาขึ้น รัฐไม่ควรจะเก็บเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น พร้อมติงควรใช้เงินกองทุนฯ ให้เหมาะสม และรัฐควรปรับขึ้นภาษีแอลพีจี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาน้ำมันตลาดโลกทุกแห่งปรับตัวสูงขึ้นมาก ราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่สิงคโปร์ปรับขึ้นประมาณ 3 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส สหรัฐ ปรับตัวขึ้นไปถึงระดับ 63.45 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล สูงสุดนับตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นดังกล่าวมีขึ้นก่อนการประชุมกลุ่มโอเปกที่คาดว่า โอเปกจะคงกำลังผลิตน้ำมันดิบที่ระดับ 24.84 ล้านบาร์เรล/วัน ในการประชุมวันนี้ หลังประเทศซาอุดีอาระเบียคาดว่าความต้องการน้ำมันที่กำลังปรับเพิ่มขึ้นจาก เศรษฐกิจที่ส่อเค้าฟื้นตัว จะช่วยผลักดันราคาน้ำมันให้ปรับเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระหว่าง 75-85 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล
น.ส.สุวพร ศิริคุณ ผู้อำนวยการมูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า จากราคาน้ำมันขาขึ้นดังกล่าวจะส่งผลต่อราคาน้ำมันขายปลีกของไทยให้ปรับเพิ่ม ขึ้น โดยในช่วงนี้ทางกระทรวงพลังงานไม่ควรที่จะจัดเก็บเงินกองทุนน้ำมันเชื้อ เพลิงเพิ่มขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ลดลงเพื่อลดภาระของการปรับขึ้นภาษีน้ำมัน 2 บาทต่อลิตร และหากพิจารณาถึงวงเงินกองทุนน้ำมันฯ ที่มีสูงถึงระดับกว่า 1 หมื่นล้านบาท ก็นับว่ายังเป็นวงเงินที่สูงมากจนไม่ต้องถึงขั้นต้องเร่งเพิ่มการจัดเก็บ เงินแต่อย่างใด นอกจากนี้แล้ว กระทรวงพลังงานน่าจะดูถึงการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ให้เหมาะสมว่า ในปัจจุบันมีการใช้ตรงกับวัตถุประสงค์การจัดตั้งตามพระราชกำหนดแก้ไขการขาด แคลนน้ำมันเชื้อเพลิงหรือไม่ เช่นกรณีการนำไปใช้อุดหนุนลดภาษีรถยนต์อี 85 ซึ่งไม่ถูกวัตถุประสงค์ แม้จะเป็นการใช้พลังงานทดแทน แต่สุดท้ายก็เป็นการส่งเสริมการใช้พลังงานอยู่ดี ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำมันแต่อย่างใด
ทั้งนี้มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) วันที่ 16 มกราคม 2552 เห็นชอบให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV อัตราร้อยละ 3 ให้กับรถยนต์ FFV ขนาดไม่เกิน 2000 ซีซี และไม่เกิน 2500 ซีซี ที่จะนำเข้ามาไม่เกิน 2,000 คัน ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2552 และใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV อัตราร้อยละ 3 ให้กับรถยนต์ FFV ที่ผลิต และต้องจำหน่ายในประเทศ ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2553
น.ส.สุวพร กล่าวว่า รัฐบาลประกาศขึ้นภาษีน้ำมันในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม เพราะขึ้นภาษีในช่วงราคาน้ำมันขาขึ้น แต่ก็เข้าใจถึงความจำเป็นเรื่องการจัดหารายได้ของรัฐ แต่สิ่งที่ควรดำเนินการไปด้วยคือการขึ้นภาษีแอลพีจี จากอัตราปัจจุบัน 2.17 บาท/กก. เพราะทิศทางแล้วราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับขึ้นอีก เนื่องจากต้นทุนการขุดเจาะสำรวจและผลิตปิโตรเลียมอยู่ที่ 70 ดอลลาร์/บาร์เรล ดังนั้น แนวโน้มราคาน้ำมันจะขยับขึ้นอีกทั้งจากเนื้อน้ำมันและภาษีที่ขึ้นไปแล้ว เมื่อนั้นผู้ใช้รถยนต์ก็จะหันกลับไปใช้แอลพีจีมากขึ้น การนำเข้าอาจจะสูงขึ้น ภาระของกองทุนน้ำมันฯ ที่เก็บจากผู้ใช้น้ำมันก็จะปรับเพิ่มขึ้นไปด้วย. - สำนักข่าวไทย อัพเดตเมื่อ 2009-05-28 14:08:14