เลิกแผนก๊าซหุงต้ม 2 ราคา พลังงานรอ นายกฯ ใหม่ [4 ธ.ค. 51] นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รักษาการ รมว.พลังงาน เปิดเผยการพิจารณาปรับโครงสร้างราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ที่จะแยกเป็น 2 ราคาระหว่างภาคขนส่งและครัวเรือน ต้องยกเลิกออกไปก่อนจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่มาพิจารณา เพราะต้องให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามประกาศในเรื่องดังกล่าว ยอมรับว่าตนไม่สามารถกำหนดเวลาที่แน่นอนได้ในเรื่องนี้ เพราะคงต้องใช้เวลานานเนื่องจาก ครม.ชุดใหม่ต้องมีการแถลงนโยบายการทำงานต่อรัฐสภาให้เรียบร้อยก่อน และตนมั่นใจว่าหลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ก็จะยังได้เป็น รมว.พลังงานต่อไป
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะที่ปรึกษาประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารกสิกรไทยและอดีต รมว.พลังงาน กล่าวว่า ขณะนี้ราคาแอลพีจีในตลาดโลกได้ปรับลดลงอย่างมากมาอยู่ที่ระดับ 338 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน หรือ 12.1 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) เทียบกับระดับราคาหน้าโรงกลั่นที่ 11 บาท/กก. ดังนั้น รัฐบาลไม่จำเป็นต้องใช้นโยบายปรับราคาแอลพีจี 2 ราคาอีกต่อไปแต่ควรใช้วิธีการปรับขึ้นราคาหน้าโรงกลั่นแทน
“ผมมองว่ารัฐบาลมี 2 ทางเลือกในการบริหารจัดการราคาแอลพีจีคือ 1. ปรับราคาหน้าโรงกลั่นและปรับราคาขายปลีกแอลพีจีทุกประเภทในอัตรา 1 บาท/กก. และยกเลิกนโยบายแอลพีจี 2 ราคา 2. ปรับราคาหน้าโรงกลั่นในอัตรา 1 บาท/กก. แต่ไม่ ปรับราคาขายปลีกแอลพีจี และหันไปใช้วิธีปรับลดภาษีสรรพสามิตแอลพีจีแทนในอัตรา 90 สต./กก. แทน หรือจาก 2.17 บาท/กก. เหลือ 1.27 บาท/กก. ซึ่งการปรับลดภาษีสรรพสามิตแอลพีจีอาจทำให้รายได้กระทรวงการคลังหายไปเดือนละ 300 ล้านบาท แต่สามารถหารายได้มาชดเชยโดยการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันได้ เนื่องจากยังมีค่าการตลาดน้ำมันในอัตราที่สูงมากเช่น แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 2.75 บาท/ลิตร และดีเซลอยู่ที่ 2.78 บาท/ลิตร”
“ปัจจุบันราคาแอลพีจีตลาดโลกได้ลดต่ำมากเหลือเพียง 338 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน จากเดิมเคยสูงที่ 924 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ซึ่งรัฐบาลควรปล่อยให้ระบบราคาลอยตัว โดยกำหนดสูตร ราคา ณ โรงกลั่นที่ชัดเจนหรือใช้สูตรราคาเดิมที่กำหนดสัดส่วนระหว่างราคาต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติกับราคาส่งออก ซึ่งหมายความว่าหากราคาตลาดโลกในอนาคตสูงขึ้น ราคาขายปลีกก็จะเพิ่มขึ้น แต่ถ้าราคาตลาดโลกลดลง ราคาขายปลีกก็จะลดลง แต่จะมีมาตรการบรรเทาผลกระทบไม่ให้ผู้ใช้แอลพีจีครัวเรือนเดือดร้อนโดยลดภาษีสรรพสามิตแทน”
นายณัฐชาติ จารุจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์หรือเอ็นจีวีขณะนี้อยู่ที่ 8.50 บาท ต่อ กก. เป็นราคาที่ ปตท.อุดหนุนอยู่ 5 บาทต่อ กก. เพื่อให้เกิดแรงจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้แทนน้ำมันและให้สามารถแข่งขันกับราคาแอลพีจีได้ โดยที่ผ่านมา ปตท.ต้องรับภาระขาดทุนมาตลอด โดยตั้งแต่ปี 49 ถึงปัจจุบันได้แบกรับภาระแล้ว 6,800 ล้านบาท โดยใน 10 เดือนแรกของปีนี้ได้แบกรับไปแล้ว 3,300 ล้านบาท ทั้งนี้ มติ ครม.ได้มีมติเห็นชอบให้มีการปรับขึ้นราคาเอ็นจีวีในปี 52 เพิ่มขึ้นจาก 8.50 บาทต่อ กก.เป็น 12 บาทต่อ กก. และปี 53 ปรับขึ้นเป็น 13 บาทต่อ กก.
ที่มา : ข่าวเศรษฐกิจ นสพ.ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/news.php?section=economic&content=113859