admin
|
|
« เมื่อ: ตุลาคม 17, 2008, 11:55:30 AM » |
|
ปตท.ส่อแววชวดปรับราคาเอ็นจีวีใหม่ที่ 12 บาทต่อกก.ในปีหน้า กระทรวงพลังงานอ้างยังไม่มั่นใจแอลพีจี 2 ราคาจะได้ปรับหรือไม่ หวั่นประชาชนจะหันไปติดตั้งแอลพีจีเพิ่ม กระทบต้องนำเข้าเพิ่มขึ้นอีก ด้านปตท.โอดครวญถึงสิ้นปีแบกรับภาระ 1,900 ล้านบาท หากไม่ได้ปรับราคาไม่มีกำลังทำต่อ
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า จากที่บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)(บมจ.) จะปรับราคาก๊าซเอ็นจีวีขึ้นจาก 8.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 12 บาทต่อกิโลกรัม นับตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปนั้น ซึ่งจากการหารือของฝ่ายบริหารกระทรวงพลังงาน มีความเป็นไปได้ว่า จะมีการยับยั้งการปรับราคาก๊าซเอ็นจีวีออกไปก่อน เนื่องจากมีความกังวลว่า หากปรับราคาก๊าซเอ็นจีวีขึ้นไปแล้ว จะทำให้ประชาชนไม่สนใจหันมาติดตั้งเอ็นจีวีเพิ่ม
ประกอบกับยังไม่มีความมั่นใจว่าการปรับราคาก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจี ของภาคขนส่งและอุตสาหกรรมจะได้รับการอนุมัติให้ปรับราคาได้เมื่อใด เนื่องจากเวลานี้สถานการณ์ทางการเมืองยังไม่นิ่ง และส่อเค้าว่าจะมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรเกิดขึ้น รวมถึงภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่เวลานี้ จะเป็นปัจจัยให้รัฐบาลเลื่อนการปรับราคาก๊าซแอลพีจีออกไปอย่างไม่มีกำหนด
ดังนั้น หากมีการปรับราคาก๊าซเอ็นจีวีขึ้นไปแล้ว แต่ไม่มีการปรับราคาแอลพีจีของภาคขนส่งขึ้นไปจากที่จำหน่ายอยู่ 11.50 บาทต่อลิตร จะทำให้ก๊าซเอ็นจีวีแพงกว่าแอลพีจีเพียงเล็กน้อย ซึ่งจะไม่จูงใจให้ประชาชนหันมาใช้ก๊าซเอ็นจีวีเพิ่มขึ้น ด้วยค่าติดตั้งที่แพงกว่าและการหาสถานีบริการเอ็นจีวีที่ยังไม่ได้รับความสะดวก และจะทำให้ประชาชนหันไปติดตั้งแอลพีจีเพิ่มขึ้นแทน ซึ่งจะส่งผลให้ต้องนำเข้าแอลพีจีที่เป็นปัญหาเวลานี้อย่างต่อเนื่องอีก
แต่หากจะปรับราคาเอ็นจีวีขึ้นไปที่ 12 บาทต่อกิโลกรัม จะต้องมีการปรับราคาแอลพีจีภาคขนส่งอย่างรุนแรงในระดับที่ 15-16 บาทต่อลิตร เพราะหากปรับราคาในระดับต่ำ จะไม่มีผลทำให้ผู้ใช้รถยนต์หันไปเปลี่ยนเป็นเอ็นจีวี ด้วยปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า จากนโยบายของรัฐบาลที่ผ่านมา ทำให้บมจ.ปตท.ต้องแบกรับภาระจากการอุดหนุนราคาก๊าซแอลพีจีและเอ็นจีวีไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งเหตุผลหนึ่งมาจากการไม่กล้าตัดสินใจในการปรับราคาก๊าซแอลพีจีเพิ่มขึ้นของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ตรึงราคาแอลพีจีมาถึงทุกวันนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นได้มีการวางโครงสร้างการปรับสูตรราคาแอลพีจีสมัยที่นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานไว้แล้ว ที่ได้กำหนดให้มีการปรับขึ้นราคาแอลพีจีทุกไตรมาสของปี 2551 แต่ก็ไม่ได้ถูกนำมาใช้ จนส่งผลให้มีการนำมาใช้ในภาคขนส่งเป็นจำนวนมาก และต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เป็นภาระให้บมจ.ปตท.ต้องอุดหนุนราคาส่วนต่างอยู่ในเวลานี้
และเป็นปัญหาลูกโซ่ต่อมายังการส่งเสริมการใช้ก๊าซเอ็นจีวี ที่ไม่สามารถผลักดันได้เต็มที่ ทำให้ผู้ใช้รถยนต์เอ็นจีวีต้องประสบปัญหาอยู่ในเวลานี้ ที่จะต้องรอคิวยาวในการใช้บริการ จากปั๊มที่มีจำกัด และเกือบจะทุกแห่งจะประสบปัญหาก๊าซเอ็นจีวีหมดจากการจัดส่งให้ไม่ทัน เพราะหากเร่งดำเนินการ บมจ.ปตท.จะยิ่งต้องแบกรับภาระเพิ่มมากขึ้น
รวมทั้งไม่มีความชัดเจนจากการปรับราคาแอลพีจี ที่จะนำเงินมาคืนจากที่ต้องแบกรับภาระการนำเข้า และต้องการลดความต้องการใช้แอลพีจีในภาคขนส่ง เพื่อที่จะมีแอลพีจีเหลือเพื่อส่งออกมาเสริมสภาพคล่องได้ รวมถึงการส่งสัญญาณจะไม่ให้ปรับราคาเอ็นจีวีเพิ่มขึ้นอีก ทำให้บมจ.ปตท.ไม่อยากที่จะผลักดันการใช้ก๊าซเอ็นจีวีตามที่รัฐบาลผลักดันต่อไป
นายณัฐชาติ จารุจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ กลุ่มธุรกิจสำรวจ ผลิต และก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)(บมจ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบเรื่องที่กระทรวงพลังงานจะให้มีการเลื่อนปรับราคาก๊าซเอ็นจีวีในปีหน้าออกไปก่อน เพราะที่ผ่านมาการส่งเสริมการใช้ก๊าซเอ็นจีวีอยู่บนเงื่อนไขให้มีการปรับราคาเป็นระยะ และเป็นมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลที่จะหลีกเลี่ยงการปรับราคาขึ้นได้
เพราะเวลานี้บมจ.ปตท.ต้องแบกรับภาระการจำหน่ายเอ็นจีวีอยู่ที่ 6 บาทต่อกิโลกรัม ราคาที่สะท้อนจริงควรอยู่ที่ 14.50 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งทำให้ปีนี้ต้องแบกรับภาระในส่วนที่ไม่สามารถขึ้นราคาได้อยู่ที่ประมาณ 1,900 ล้านบาท หากไม่ปรับขึ้นให้บมจ.ปตท.คงไม่มีกำลังที่จะทำต่อ
ส่วนการแก้ปัญหาการรอคิวเติมก๊าซนาน และการจัดส่งก๊าซเอ็นจีวีที่ขาดอยู่นั้น คาดว่าภายในไตรมาสที่ 4 นี้ ปัญหาน่าจะบรรเทาไปได้ เพราะจะมีการเพิ่มสถานีบริการไม่ต่ำกว่า 320 แห่ง และการจัดหาเพิ่มกว่า 4,000 ตันต่อวัน จากที่เวลานี้ความต้องการเอ็นจีวีอยู่กว่า 2,700 ตันต่อวัน และการจัดหาทำได้ประมาณ 2,800 ตันต่อวัน จึงทำให้ปั๊มบางแห่งอาจจะเกิดการขาดแคลนได้
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2363 05 ต.ค. - 08 ต.ค. 2551
|